จริงหรือไม่? กินลิ้นจี่ตอนท้องว่าง เสี่ยงเป็นไข้-ชัก-พูดไม่รู้เรื่อง
คำที่ถูกค้นบ่อย
    Sanook//s.isanook.com/sr/0/images/logo-new-sanook.png60060
    //s.isanook.com/he/0/ud/1/6157/lychee.jpgจริงหรือไม่? กินลิ้นจี่ตอนท้องว่าง เสี่ยงเป็นไข้-ชัก-พูดไม่รู้เรื่อง

    จริงหรือไม่? กินลิ้นจี่ตอนท้องว่าง เสี่ยงเป็นไข้-ชัก-พูดไม่รู้เรื่อง

    2017-02-02T19:49:00+07:00
    แชร์เรื่องนี้

    เรื่องนี้ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่เพิ่งเคยได้ยิน ผลไม้ที่หลายคนชื่นชอบอย่าง “ลิ้นจี่” มีอันตรายถึงขั้นห้ามทานตอนท้องว่าง เพราะจะเกิดอาการผิดปกติกับร่างกายจริงหรือไม่ อาการจะเป็นอย่างไร และมีวิธีป้องกันอย่างไร Sanook! Health ขออนุญาตนำคำตอบจากคุณหมอแมวจากเฟซบุ๊คเพจ ความรู้สนุกๆ แบบหมอแมว มาให้ได้อ่านกันค่ะ

    ____________________

    ห้ามกินลิ้นจี่ตอนท้องว่าง ... จริงหรือ

    ในช่วงปี 2533 ในพื้นที่การเกษตรห่างไกลของเวียดนาม บังคลาเทศและอินเดีย ได้เกิดปรากฎการณ์ประหลาดขึ้น เพราะเมื่อเข้าใกล้ช่วงฤดูเก็บเกี่ยวผลไม้ จะมีเด็กป่วยหรือเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ

    เด็กที่ป่วย ตอนเย็นจะยังดูมีอาการปกติ แต่ว่าในตอนเช้าวันถัดมาจะมีอาการซึม สับสน พูดคุยไม่รู้เรื่อง บางคนมีไข้ บางคนชัก แพทย์ที่ทำการตรวจในยุคนั้นพยายามตรวจหาสาเหตุไม่ว่าจะจากเชื้อโรค จากสารเคมี จากสารในผลไม้แต่ก็ไม่พบสาเหตุที่ชัดเจน

    ในปีถัดๆมา เกิดเหตุการณ์เดียวกันขึ้นอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทุกปีเมื่อถึงช่วงเดือนพฤษภาคม ชาวบ้านก็จะกลัวกันว่าลูกของตนจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป ... ที่อินเดีย ได้มีการตรวจเรื่องยาฆ่าแมลง เชื้อ แต่ก็ไม่ชัดเจน มีการควบคุมการใช้ยาฆ่าแมลง และในปี2555มีการฉีดวัคซีนไข้สมองอักเสบขนานใหญ่ แต่ก็ยังพบว่าเด็กๆยังป่วยอยู่ ... ซึ่งทำให้เหลือเหตุผลที่เป็นไปได้อีกตัวนึงคือสารในผลไม้

     

    สารในผลไม้ที่สงสัยกันคือสาร hypoglycin A และ methylenecyclopropylglycine ซึ่งสารทั้งสองชนิดนี้เป็นสารพิษในพืชบางชนิด จะไปยับยั้งการสร้างน้ำตาล ยับยั้งการใช้พลังงานจากกรดไขมัน ทำให้ร่างกายขาดพลังงาน และเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ โดยสารนี้พบในผลไม้จาไมก้าที่ชื่อว่าอัคกี และทำให้เกิดโรคที่เรียกว่า โรคอาเจียนจาไมก้า

    สำหรับผลไม้ที่อยู่ในตระกูลเดียวกันก็คือ เงาะ ลำไย และลิ้นจี่ ก็มีสารนี้มากน้อยต่างๆกันไป

     

    ห้ามกินตอนท้องว่าง???

    หลังจากปี 2555 เมื่อพบว่าการฉีดวัคซีนก็ไม่ช่วยอะไร เลยมีการพุ่งเป้าไปที่สาร hypoglycin A ในลิ้นจี่ ... และมีการเก็บข้อมูลกันใหม่ โดยเมื่อมีคนป่วยก็ลองรักษาเสมือนมีภาวะน้ำตาลต่ำและตรวจหาสารนี้ไปเลย

    ปรากฏว่าผลคือพบสารนี้ในเลือดของคนที่ป่วยจริงๆ

     

    และเมื่อตรวจสอบย้อนกลับไป ลองถามดู จะได้ลักษณะที่ตรงกันคือ

    1. เป็นเด็ก
    2. มีภาวะขาดสารอาหาร อาหารการกินไม่ดี อดมื้อกินมื้อ
    3. มักจะมีประวัติว่าหายไปในสวนลิ้นจี่ ไปกินลิ้นจี่ทั้งวันจนอิ่ม และกลับมาโดยทั้งวันไม่กินอาหารหรือไม่กินอาหารเย็น

     

    ทั้งนี้ไม่ได้เกิดกับเด็กทุกคน เพราะเด็กที่ทำแบบเดียวกัน ก็ไม่ได้เป็นก็มี ... แต่เนื่องจากหาสาเหตุอื่นไม่เจอและตรวจเจอสารที่เป็นไปได้ในเลือด ดังนั้นก็เลยสรุปว่าเป็นสารพิษในลิ้นจี่

     

    แล้วเราจะทำยังไง

    ก็อย่าเพิ่งตื่นตกใจจนเกินไป เพราะว่าเอาเข้าจริงๆ รายงานชัดๆมาจาก 3 แห่งคือเวียดนาม บังคลาเทศ และอินเดีย เป็นในบางพื้นที่ไม่ได้เป็นทุกที่ และเป็นเฉพาะในเด็กที่มีภาวะขาดอาหารไม่แข็งแรงอยู่เดิม และเป็นแค่บางคนไม่ได้เป็นทุกคนที่กิน

    1. อย่ากินลิ้นจี่ดิบ : เพราะมีสารพิษที่ว่ามากกว่าผลสุกประมาณ 2-3 เท่า
    2. อย่ากินลิ้นจี่อย่างเดียวทั้งวันแทนอาหาร
    3. อย่าขาดสารอาหาร : ในงานวิจัยบอกว่า อาการนี้พบในเด็กที่ขาดอาหาร ยากจน ซึ่งภาวะขาดอาหารจะทำให้มีพลังงานสำรองในตับลดลง

     

    สรุป

    สำหรับคนเป็นเบาหวานที่อยากจะกินลิ้นจี่เป็นยาลดน้ำตาล ก็ขอให้เบรกความคิดไว้ก่อนเพราะว่า

    - งานวิจัยพบว่า ลิ้นจี่แต่ละลูกมีสารไม่เท่ากัน (ผลลดน้ำตาลเอาแน่นอนไม่ได้)

    - ถ้ากินอาหารไปด้วยน้ำตาลก็อาจไม่ต่ำ

    - ในผู้ป่วยบางรายพบภาวะไตวายร่วมด้วย

    - ที่สำคัญในลิ้นจี่สุกก็มีน้ำตาล ถ้ากินเป็นล่ำเป็นสันและกินอาหารไปด้วย นอกจากน้ำตาลจะไม่ต่ำ เผลอๆได้น้ำตาลสูงแทน

     

    ปล. ลำไยกับเงาะก็มีสารนี้ แต่ก็เหมือนกัน อย่าไปกินเพื่อหวังลดน้ำตาล

     

    ____________________

     

    เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งตระหนกตกใจมากจนเกินไปนะคะ หากทานลิ้นจี่ที่สด สะอาด สุกกำลังดี และทานอย่างพอดี รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ รับรองว่าคุณจะสามารถเอร็ดอร่อยกับผลไม้ชนิดนี้ได้ต่อไปอย่างแน่นอนค่ะ

    ขอขอบคุณ

    ข้อมูล :ความรู้สนุกๆ แบบหมอแมว