10 อาหารวิตามินเอสูง บำรุงสายตา เสริมภูมิคุ้มกันโรค
อาหารที่ช่วยบำรุงสายตา และยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ ในร่างกาย จะมีอะไรบ้าง
“วิตามินเอ” เป็นหนึ่งในสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและเราควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเป็นประจำ โดยแนะนำให้กินผ่านอาหารจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายได้มากกว่า
ประโยชน์ของวิตามินเอ
- ช่วยบำรุงสายตา ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคจุดภาพชัดเสื่อมในผู้สูงอายุ
- ส่งเสริมการทำงานของระบบสืบพันธุ์ของทั้งผู้ชายและผู้หญิง ช่วยสร้างอสุจิและไข่ให้แข็งแรง และช่วยในเรื่องของการเจริญเติบโตและพัฒนาการด้านสายตาของตัวอ่อนในครรภ์
- ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และอาจช่วยรักษาโรคติดเชื้อได้หลายชนิด เช่น วัณโรค โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคติดเชื้อในเด็ก
- ช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งช่องจมูก มะเร็งทางเดินอาหาร มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
อาหารที่มีวิตามินเอสูง
- ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ปวยเล้ง บรอกโคลี
- ผักสีส้ม สีเหลือง เช่น แคร์รอต มันเทศ ฟักทอง และผักตระกูลน้ำเต้า
- มะเขือเทศ
- พริกหวานสีแดง
- แคนตาลูป
- มะม่วง
- ตับวัว
- น้ำมันปลา
- นม
- ไข่
เป็นต้น
อันตรายจากการขาดวิตามินเอ
วิตามินเอ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพ โดยมีบทบาทสำคัญต่อระบบการมองเห็น การเจริญเติบโต การสร้างภูมิคุ้มกันโรค รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุผิวต่างๆแหล่งอาหารที่มีวิตามินเอสูงได้แก่ ตับ ไข่แดง นม เนื้อสัตว์ ผักใบเขียวเข้ม ผักและผลไม้สีเหลือง
หากขาดวิตามิน หรือมีวิตามินในร่างกายไม่เพียงพอ อาจก่อให้เกิดอันตรายขึ้นได้ ได้แก่
- มองไม่เห็นในที่แสงน้อย หรือมีอาการตาบอดสีในเวลากลางคืน
- เยื่อบุตาแห้ง หรืออาการตาแห้ง
- เสี่ยงมีอาการตาวุ้น พบได้หลังระยะตาแห้งไปแล้ว โดยจะมีอาการลักษณะตาขุ่น เหลว เนื่องจากดวงตาได้รับการติดเชื้อหรือติดเชื้อได้ง่าย และไวกว่าอาการตาแห้ง
- เสี่ยงโรคผิวหนัง เนื่องจากวิตามินเอมีส่วนสำคัญในการรักษาสภาพเยื่อบุผิวหนัง การขาดวิตามินเอจึงทำให้ผิวพรรณขาดความชุ่มชื้น และหยาบกร้านได้ จนอาจนำไปสู่โรคทางผิวหนัง เช่น สิว หรือการติดเชื้อทางผิวหนัง
- เสี่ยงภูมิต้านทานต่ำ เสี่ยงโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ และเสี่ยงต่อเกิดการอักเสบในโพรงจมูก ช่องปาก คอ และที่ต่อมน้ำลาย ทั้งยังส่งผลให้ติดเชื้อไวรัส ทำให้เป็นหวัดง่ายอีกด้วย
ปริมาณการกินวิตามินเอที่เหมาะสม
ปริมาณวิตามินเอที่เหมาะสมกับร่างกาย คือ 5,000 IU เป็นขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับผู้ใหญ่เพศชาย และ 4,000 IU สำหรับเพศหญิง
โดยปริมาณวิตามินเอที่เหมาะสมจากอาหารอาจไม่ได้ระบุจากอาหารได้อย่างแน่ชัด ควรมีการกินอาหารที่มีวิตามินเอในชีวิตประจำวันอยู่เรื่อยๆ วันละนิดวันละหน่อยไม่ให้ขาด เท่านี้ก็ช่วยให้ร่างกายไม่ขาดวิตามินเอได้ง่ายๆ แล้ว และที่สำคัญ หากรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอเป็นประจำอยู่แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อวิตามินเอในรูปแบบของอาหารเสริมมารับประทานเพิ่มแต่อย่างใด