ปวดเจ็บบริเวณส้นเท้าหลังตื่นนอนบ่อย ๆ ระวังเสี่ยง "โรครองช้ำ"

ปวดเจ็บบริเวณส้นเท้าหลังตื่นนอนบ่อย ๆ ระวังเสี่ยง "โรครองช้ำ"

ปวดเจ็บบริเวณส้นเท้าหลังตื่นนอนบ่อย ๆ ระวังเสี่ยง "โรครองช้ำ"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากมีอาการปวดเจ็บบริเวณส้นเท้าเมื่อลุกเดิน 2-3 ก้าวแรกหลังจากตื่นนอนในตอนเช้า รวมถึงหลังการออกกำลังกาย เดิน หรือยืนเป็นเวลานาน เสี่ยงเป็นโรครองช้ำ


โรครองช้ำ คืออะไร ?

นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์และโฆษกกรมการแพทย์  เปิดเผยว่า โรครองช้ำ หรือโรคพังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ เป็นโรคที่พบบ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากไขมันส้นเท้าจะบางกว่า นอกจากนี้เอ็น กล้ามเนื้อน่อง และฝ่าเท้าจะไม่แข็งแรงเท่าผู้ชาย นักวิ่งที่ต้องใช้เท้าและส้นเท้าเป็นเวลานาน และคนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะที่มีน้ำหนักมาก ต้องยืนนาน เดินนาน ซึ่งจะมีอาการปวดและกดเจ็บบริเวณส้นเท้า ระยะแรกอาจเกิดหลังการออกกำลังกาย เดิน หรือยืนเป็นเวลานาน แต่เมื่ออาการมากขึ้นจะรู้สึกปวดส้นเท้าตลอดเวลา ทั้งนี้อาการจะชัดเจนเมื่อลุกขึ้นเดิน 2-3 ก้าวแรกหลังจากตื่นนอนในตอนเช้า หรือหลังจากนั่งพักขาเป็นเวลานาน จะรู้สึกเจ็บบริเวณส้นเท้า เนื่องจากการกระชากของเอ็นฝ่าเท้าที่อักเสบอย่างทันทีทันใด     


ปัจจัยเสี่ยงโรครองช้ำ

นายแพทย์สมพงษ์ ตันจริยภรณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเลิดสิน กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจัยเสี่ยงของโรครองช้ำเกิดจากการใช้งานฝ่าเท้ามากเกินไป เช่น การฝึกวิ่งที่หักโหม วิ่งในระยะทางที่ไกลเกินไป การสวมรองเท้าที่ไม่มีพื้นบุรองส้นเท้า หรือบางเกินไป หรือสวมรองเท้าไม่เหมาะกับรูปเท้า คนที่มีน้ำหนักตัวมาก คนที่มีลักษณะเท้าแบน อุ้งเท้าสูง รวมถึงผู้ที่ป่วยเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์หรือข้อสันหลังอักเสบ 


วิธีดูแลเท้าเมื่อเป็นโรครองช้ำ

อย่างไรก็ตามโรครองช้ำสามารถดูแลด้วยตนเองได้ในเบื้องต้น โดยการยืดพังผืดฝ่าเท้าสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่น ในรายที่พังผืดตึงมากควรแช่เท้าในน้ำอุ่นก่อนทำการยืดประมาณ 15-20 นาที จะช่วยลดอาการเจ็บขณะบริหาร นอกจากนี้ควรเลือกรองเท้าที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดแรงกดทับบริเวณที่อักเสบ ลดน้ำหนักโดยการออกกำลังกายที่ไม่มีการกระแทกบริเวณส้นเท้า เช่นว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ถ้าผู้ป่วยอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์ ซึ่งปัจจุบันสามารถรักษาโดยฉีดสเตียรอยด์เฉพาะที่ลดการอักเสบ รักษาด้วยคลื่นกระแทกบริเวณที่ปวดโดยตรง และการผ่าตัดซึ่งจะใช้วิธีนี้ต่อเมื่อผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ แล้วไม่ได้ผล

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook