ว่านหางจระเข้ กินได้ไหม? ประโยชน์เยอะกว่าที่คิด แต่กินผิดคือพัง

ว่านหางจระเข้ ไม่ได้มีดีแค่ "ทาหน้า" หรือ "พอกแผล" เท่านั้นนะ รู้ไหมว่า “เนื้อวุ้นของว่านหางจระเข้” กินได้จริง ๆ และยังช่วยทั้งเรื่องระบบขับถ่าย ความชุ่มชื้นผิว ไปจนถึงควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอีกด้วย
แต่เดี๋ยวก่อน! ถ้าอยากกินว่านหางจระเข้ ต้องรู้วิธีล้างยางเหลืองให้สะอาด เพราะถ้ากินผิดวิธี อาจท้องเสียเอาได้เลย
ว่านหางจระเข้ คืออะไร?
ว่านหางจระเข้ เป็นพืชล้มลุกในกลุ่มพืชอวบน้ำที่มีใบหนาและอุ้มน้ำได้มาก เนื้อในใบจะมีลักษณะเป็นวุ้นใส ๆ ซึ่งมีสรรพคุณทางยามากมาย ทั้งใช้ทาผิวเพื่อช่วยลดการอักเสบ รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือสิว นอกจากนี้ว่านหางจระเข้ เป็นพืชที่กินได้ และดีมากถ้ากินเป็น โดยเนื้อวุ้นภายในช่วยบำรุงระบบย่อยอาหารและขับถ่าย ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และบำรุงผิวพรรณจากภายใน
อย่างไรก็ตาม การนำว่านหางจระเข้มากินต้องผ่านการเตรียมและล้างอย่างถูกวิธี เพื่อกำจัดยางเหลืองซึ่งเป็นสารระคายเคืองและยาระบายแรงที่อยู่ในเปลือก เพื่อให้สามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัยและได้รับประโยชน์สูงสุดจากพืชชนิดนี้.
ประโยชน์ของว่านหางจระเข้ (ถ้ากินแบบถูกวิธี)
1. ช่วยให้ขับถ่ายดีขึ้น
- เนื้อวุ้นมีใยอาหารสูง
- ช่วยปรับสมดุลลำไส้ ถ่ายง่ายขึ้นแบบธรรมชาติ
2. ลดน้ำตาลในเลือด
- งานวิจัยบางชิ้นพบว่า น้ำว่านหางจระเข้ช่วยลดระดับน้ำตาล
- เหมาะกับคนที่มีความเสี่ยงเป็นเบาหวาน
3. บำรุงผิวจากภายใน
- วิตามินและน้ำในเนื้อวุ้นช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดผดผื่น
- คนผิวแพ้ง่ายควรกินแบบพอเหมาะ
4. เคลือบกระเพาะ ลดกรดไหลย้อน
- วุ้นว่านช่วยเคลือบเยื่อบุกระเพาะ
- เหมาะกับคนที่แสบกระเพาะง่ายหรือมีกรดในกระเพาะเยอะ
5. รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
- ใช้น้ำเมือกจากว่านหางจระเข้รักษา แผลไฟลวก ขนาดรุนแรงที่สุด โดยทาน้ำเมือกที่แผลให้เปียกอยู่เสมอ แผลจะหายรวดเร็วมาก อาการปวดแผลหรือการเกิดแผลเป็นจะมีน้อยมากหรือไม่มีเลย
ข้อควรระวังในการกินว่านหางจระเข้
1.ต้องล้างยางเหลืองออกให้หมด
ยางสีเหลืองที่อยู่ระหว่างเปลือกกับวุ้น เรียกว่า “อโลอิน” มีฤทธิ์เป็นยาระบายแรง ถ้าล้างไม่หมดอาจทำให้ท้องเสีย ปวดบิด หรือคลื่นไส้ได้
2.ไม่ควรกินทุกวันติดต่อกัน
แม้จะมีประโยชน์ แต่การกินว่านหางจระเข้ในปริมาณมากหรือต่อเนื่องทุกวัน อาจส่งผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุบางชนิดในร่างกาย และอาจทำให้ระบบขับถ่ายทำงานผิดปกติในระยะยาว
3.หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยง
มีความเชื่อและข้อมูลบางส่วนว่าอาจกระตุ้นการบีบตัวของมดลูก ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการแท้ง หรือส่งผลต่อเด็กในครรภ์ได้ แม้ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจน แต่ก็ควรระวังไว้ก่อน
4.ผู้ป่วยโรคตับหรือไตควรปรึกษาแพทย์ก่อน
บางรายงานระบุว่าสารบางชนิดในว่านหางจระเข้อาจส่งผลต่อตับหรือไตได้ หากบริโภคมากเกินไป
5.ควรเริ่มกินในปริมาณน้อยก่อน
โดยเฉพาะหากเป็นครั้งแรก ควรเริ่มจากปริมาณเล็กน้อย เพื่อสังเกตว่าแพ้หรือมีอาการข้างเคียงหรือไม่ เช่น คันคอ ระคายกระเพาะ หรือถ่ายเหลว
วิธี “กินว่านหางจระเข้” ให้ปลอดภัย (แบบง่าย ๆ ทำได้ที่บ้าน)
1.เลือกใบว่านให้เหมาะ
- เลือกว่านที่ ปลูกแบบอินทรีย์ หรือปลูกเอง ไม่ใช้สารเคมี
- เลือกใบกลางที่โตเต็มที่ (ไม่อ่อนหรือแก่เกินไป) เพราะมีวุ้นมากและสารระคายน้อยกว่าปลายใบ
2.ล้างยางเหลืองออกให้หมด
- ปอกเปลือกสีเขียวออกให้หมด จนเหลือแต่วุ้นใสล้วน ๆ
- หั่นวุ้นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้ว แช่น้ำสะอาดหรือน้ำเกลือเจือจางประมาณ 15–30 นาที
- ล้างซ้ำด้วยน้ำเปล่าหลาย ๆ ครั้ง จนน้ำใสและไม่มีเมือกสีเหลืองหลงเหลือ ยางเหลืองนั้นมีสาร aloin ซึ่งเป็นยาระบายแรง หากไม่ล้างออกให้หมด อาจปวดท้องหรือถ่ายเหลวได้
3.ควรเริ่มกินทีละน้อย
- หากเพิ่งเริ่มกิน ให้เริ่มจาก 1–2 ช้อนโต๊ะของวุ้นว่านหางจระเข้/วัน แล้วสังเกตอาการ เช่น คันคอ ท้องเสีย หรือแน่นท้อง
- ถ้าไม่มีอาการผิดปกติ ค่อยเพิ่มปริมาณได้ แต่ไม่ควรเกิน 1/4 ถ้วยตวงต่อวัน
- ไม่ควรกินทุกวันติดต่อกัน แนะนำให้เว้นวัน หรือกินแค่ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
4.วิธีปรุงที่แนะนำ
- แช่น้ำผึ้งมะนาว ดื่มตอนเช้า (ช่วยขับถ่ายดีมาก)
- ปั่นสมูทตี้กับผลไม้ เช่น ฝรั่ง แตงโม กล้วย (เพิ่มไฟเบอร์)
- ต้มเป็นวุ้น ใส่ในน้ำลำไย น้ำเก๊กฮวย หรือเยลลี่คลีน ๆ
- จะไม่แนะนำให้กินสดเพียว ๆ เพราะอาจระคายคอ (ถ้าเตรียมไม่สะอาด)