“ไอเรื้อรัง” เป็นเพราะอะไร เสี่ยงเป็นโรคอะไรบ้าง?

“ไอเรื้อรัง” เป็นเพราะอะไร เสี่ยงเป็นโรคอะไรบ้าง?

“ไอเรื้อรัง” เป็นเพราะอะไร เสี่ยงเป็นโรคอะไรบ้าง?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ไอเรื้อรัง ไอคันคอ เจออากาศเย็นแล้วชอบไอ เป็นสัญญาณของการเกิดโรคได้มากมาย และเกิดได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่โรคภูมิแพ้ ไปจนถึงโรคมะเร็งปอด การไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ และเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสม จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง แต่ก่อนหน้านั้น มาทำความรู้จักกับอาการ ไอเรื้อรัง เพิ่มขึ้นกันอีกสักนิดดีกว่าว่า ไอเรื้อรัง เกิดจากอะไร และเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงโรคอะไรได้บ้าง?


ไอเรื้อรัง คืออะไร
?

ไอเรื้อรัง หรือ Chronic Cough คือ อาการไอที่เกิดขึ้นติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน มักมีอาการติดต่อกันเป็นนานเกิน 8 สัปดาห์ในผู้ใหญ่ และเกิน 4 สัปดาห์ในเด็ก โดยความจริงแล้ว ไอเรื้อรัง เป็นอาการที่ไม่ใช่โรค แต่ก็มีสาเหตุจากปัจจัย หรือปัญหาทางสุขภาพต่างๆ เช่น สูบบุหรี่ น้ำมูกไหล เสมหะหรือ น้ำมูกไหลลงคอ โรคหืด และโรคกรดไหลย้อน เมื่อโรคหรือภาวะที่เป็นสาเหตุได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติ อาการไอเรื้อรังก็จะหายไปด้วย

โดยพื้นฐานแล้ว ลักษณะของอาการไอที่ควรไปพบแพทย์ คือ

  • ไอติดต่อกันนานเกิน 8 สัปดาห์

  • มีอาการไอรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ

  • ไอ โดยมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีเลือดปน น้ำหนักลด เบื่ออาหาร หอบเหนื่อย อ่อนเพลีย เจ็บหน้าอก

  • ไอมีเลือดปน

  • มีอาการไอเรื้อรัง หลังจากที่เคยสัมผัสกับผู้ป่วยวัณโรค หรืออยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยวัณโรค

  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ไต หัวใจ ควรรีบไปพบแพทย์เมื่อมีอาการไอ

 
ไอแบบไหนที่ควรระวัง

เราสามารถแบ่งชนิดของอาการไอ ตามระยะเวลาของอาการไอ ได้เป็น

- ไอเฉียบพลัน คือ มีระยะเวลาของอาการไอน้อยกว่า 3 สัปดาห์ ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น เป็นหวัด โพรงไซนัสอักเสบเฉียบพลัน คอหรือกล่องเสียงอักเสบ หลอดลมอักเสบ ถุงลมโป่งพองกำเริบ มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในหลอดลม หรือสัมผัสสารระคายเคืองในสิ่งแวดล้อม เช่น ควันบุหรี่ ควันไฟ กลิ่นสเปรย์ แก๊ส มลพิษทางอากาศ เป็นต้น

- ไอกึ่งเฉียบพลัน ระยะเวลาของอาการไอประมาณ 3 -8 สัปดาห์

- ไอเรื้อรัง คือ มีระยะเวลาของอาการไอนานกว่า 8 สัปดาห์ มักเกิดจากโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ไซนัสอักเสบเรื้อรัง หืด กรดไหลย้อน เนื้องอกบริเวณคอ กล่องเสียง หรือหลอดลม วัณโรคปอด เป็นต้น โดยผู้ป่วยที่มีอาการไอเรื้อรัง อาจเกิดจากสาเหตุได้มากกว่า 1 สาเหตุ

ยิ่งไปกว่านี้ อาการ ไอเรื้อรัง โดยไม่ทราบสาเหตุ ยิ่งนับว่าเป็นความผิดปกติที่ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อสืบหาสาเหตุของอาการ โดยเฉพาะเมื่อมีอาการร่วมเหล่านี้

  • ไอเป็นเลือดสดๆ หรือเสมหะมีเลือดปน

  • เบื่ออาหาร

  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

  • หอบเหนื่อยง่าย

  • เกิดปอดอักเสบบ่อยครั้ง

  • กลืนลำบาก กลืนเจ็บ

  • เสียงแหบ

 ระวังคุณอาจ ไอเรื้อรัง เพราะเป็นโรคเหล่านี้!

วัณโรคปอด - ในระยะแรกอาจจะไม่มีอาการใดๆ แต่เมื่อโรคลุกลามมากขึ้น จะมีอาการไอเรื้อรัง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด บางรายอาจไอเป็นเลือด เจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย

มะเร็งปอด - จะมีอาการไอเรื้อรังเมื่อโรคเป็นมากขึ้น บางรายอาจไอออกมาเป็นเลือดสดๆ บางรายอาจมีอาการเจ็บหน้าอก อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด หรือมีไข้ร่วมด้วย

ถุงลมโป่งพอง – มักพบในผู้ที่มีประวัติสูบบุหรี่จัด หรืออยู่ใกล้กับผู้ที่สูบบุหรี่จัดมานาน มักไอแบบมีเสมหะเรื้อรัง หอบเหนื่อยง่าย มีหายใจเสียงดัง

โรคหอบหืด - มักมีอาการไอ โดยเฉพาะเวลากลางคืนเมื่ออากาศเย็น เหนื่อยง่ายและหายใจมีเสียงวี๊ด แต่ก็มีผู้ป่วยจำนวนมาก ที่เป็นโรคหอบหืดชนิดที่ไม่รุนแรง และไม่เคยมีอาการหืดจับหรือเหนื่อยง่ายเลย มีเพียงไอเรื้อรังเท่านั้น

โรคภูมิแพ้อากาศ - ผู้ป่วยมักจะมีอาการ คัดจมูก น้ำมูกไหล และมี น้ำมูกไหลลงคอ เวลานอน ทำให้มีอาการไอเรื้อรัง มักมีอาการเมื่อสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น ละอองเกสร ขนสัตว์ อากาศเย็น เป็นต้น

ไซนัสอักเสบ – มัก เป็นหวัดคัดจมูก หรือโรคภูมิแพ้อากาศนำมาก่อน บางรายอาการหวัดอาจดีขึ้นในช่วงแรก แล้วทรุดลงในภายหลัง มักไอเวลากลางคืนเพราะ น้ำมูกไหลลงคอ

กรดไหลย้อน - ผู้ป่วยที่มี กรดในกระเพาะ และกรดไหลย้อนกลับเข้ามาในหลอดอาหาร หรือ GERD อาจมีอาการไอเรื้อรังได้ มักไอแห้งๆ โดยเฉพาะหลังอาหาร หรือเวลาล้มตัวลงนอน อาจมีอาการแสบร้อนในอก หรือเรอเปรี้ยว ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้

ภาวะทางเดินหายใจไวต่อสิ่งกระตุ้น - มักพบต่อเนื่องจากการเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ คือ เป็นหวัดคัดจมูก และหายแล้ว แต่ยังมีอาการไออยู่ มักจะไอมากในช่วงกลางคืน หรือเวลาที่อากาศเย็น ๆ ถูกลม เป็นต้น

ภาวะทางจิตใจมีปัญหา - มีคนเป็นจำนวนมากที่ไอ หรือกระแอม โดยที่ร่างกายต่างก็ปกติดี ไม่มีโรคใด ๆ อาการนี้เรียกกันว่า Psychogenic หรือ Habit Cough หรือก็คือ การไอจนติดเป็นนิสัย เมื่อเข้ารับการวินิจฉัย มักไม่พบว่ามีโรคที่เป็นสาเหตุของอาการไอ และมีการตั้งข้อสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นอาการไอเรื้อรังที่มีสาเหตุมาจากเหตุผลทางจิตใจ


ภาวะแทรกซ้อนของอาการไอเรื้อรัง

ภาวะแทรกซ้อนของอาการไอเรื้อรัง เป็นอาการที่อาจรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วย ทำให้เกิดความยากลำบากในการทำกิจกรรมประจำวันต่างๆ เนื่องจากไอบ่อย และทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ได้ เช่น

  • เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ

  • ร่างกายอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย

  • รู้สึกไม่สบายกล้ามเนื้อ

  • นอนไม่หลับ

  • เสียงแหบ

  • เหงื่อออกมาก

  • มีเลือดออกในตาเล็กน้อย

  • ปัสสาวะเล็ด

  • เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นไส้เลื่อน

  • ไอมาก หรือไอรุนแรงจนซี่โครงหัก


การรักษาอาการไอเรื้อรัง

สิ่งสำคัญที่สุดในการรักษา อาการไอเรื้อรัง คือ การหาสาเหตุของอาการ เพราะบางครั้งอาการไอเรื้อรังก็อาจหายเองได้ และบางครั้งก็เป็นโรคร้ายแรง หรือโรคที่ต้องรับการตรวจวินิจฉัย และรีบทำการรักษา จึงควรรีบไปพบแพทย์ และไม่ปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป

นอกจากนี้ คุณสามารถดูแลตนเอง ในระหว่างที่มีอาการไอเรื้อรังได้ด้วยการ

  • ดื่มน้ำอุ่น อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว

  • กลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่น ๆ เพื่อช่วยกำจัดเสมหะ

  • หลีกเลี่ยงการสูดดม ฝุ่น ควันบุหรี่ หรือมลพิษทางอากาศ

  • เสริมหมอนเวลานอนให้สูงขึ้น เพื่อช่วยยกศีรษะและลำตัวช่วงบน

  • ใช้ยาอม ยาแก้ไอ เพื่อลดอาการไอ

  • ปฏิบัติตนตามแผนการรักษาที่แพทย์แนะนำ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการรักษา


การป้องกันอาการไอเรื้อรัง

  • งดสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับฝุ่นควัน มลพิษ

  • หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค ปอดบวม หลอดลมอักเสบ เพื่อป้องกันการติดโรค

  • ในผู้ที่เป็นภูมิแพ้ ให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้

  • ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง โดยการทานผักผลไม้ ดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายประจำ และพักผ่อนให้เพียงพอ

  • เลิกสูบบุหรี่ หรือหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะเป็นสาเหตุสำคัญของอาการไอเรื้อรัง

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่อาจเป็นโรคหลอดลมอักเสบหรือปอดปวม


รับประทานอาหารและผลไม้ที่มีไฟเบอร์หรือกากใยสูง เพราะจากการวิจัยได้แนะนำว่าไฟเบอร์และฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ที่พบในผลไม่อาจมีส่วนช่วยในการป้องกันอาการไอเรื้อรังได้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook