ครีมลดริ้วรอย...ระเบิดเวลาต่อผิวรอบดวงตาจริงหรือ?

ครีมลดริ้วรอย...ระเบิดเวลาต่อผิวรอบดวงตาจริงหรือ?

ครีมลดริ้วรอย...ระเบิดเวลาต่อผิวรอบดวงตาจริงหรือ?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ก่อนที่จะหยิบครีมลดริ้วรอยมาทาผิวบริเวณใบหน้าในวันนี้ สบายอารมณ์อยากจะชวนสาวๆ ทุกคนมาสำรวจคุณสมบัติของครีมที่ใช้ และผิวหน้าของเราที่ปรากฏอยู่บนกระจกอยู่ในขณะนี้...เป็นอย่างไรกันบ้างคะ ริ้วรอยจางหายไป? ผิวอ่อนนุ่มมากไปหรือเปล่า? ผิวใสเปล่งปลั่งแต่ไวต่อแสงแดด? ถ้าคำตอบคือใช่...สัญญาณอันตรายก็เริ่มต้นร้องเตือนผิวหน้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผิวรอบดวงตาของสาวๆ ทุกคนแล้วล่ะค่ะ
   
ถ้าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ผิวรอบๆ บริเวณดวงตาก็เป็นหน้าต่างของผิวใบหน้าทั้งหมดเช่นกัน ที่พร้อมจะบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า เราดูแลผิวของเราได้ดีขนาดไหน เพราะผิวรอบดวงตาเป็นผิวส่วนที่ละเอียดอ่อนและบอบบางที่สุดบนใบหน้า ผิวรอบดวงตาบางกว่าผิวหน้าถึง10เท่า และมีต่อมไขมันน้อยกว่า และเป็นส่วนที่เกิดริ้วรอย รอยหมองคล้ำ รวมทั้งถุงใต้ตาได้ง่ายที่สุด เนื่องจากผิวส่วนนี้เก็บกักความชุ่มชื้นได้เพียงน้อยนิดและมีต่อมน้ำมันเพียงเล็กน้อย จึงมักส่งผลให้ผิวรอบดวงตาแห้งกร้าน และขาดความอ่อนนุ่ม การใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับดวงตาที่ทำจากสารเคมีสังเคราะห์ และการทาผลิตภัณฑ์ใกล้ดวงตามากเกินไป หรือการออกแรงกดบนผิวรอบดวงตามากเกินไปขณะที่ทาผลิตภัณฑ์ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ตาช้ำ หรือระคายเคืองได้

การที่สาวๆ เร่งบำรุงด้วยครีมสังเคราะห์จากสารเคมีต่างๆ มากเกินไปจึงเสมือนเป็นระเบิดเวลารอให้ผิวเราเสียหายมากขึ้นไปตามลำดับวัยด้วย เนื่องจากครีมบำรุงผิวกลุ่ม Anti aging เหล่านี้ จะมีส่วนผสมของ Retinoids, AHAs, BHAs ซึ่งสารเหล่านี้จะมีกระบวนการไปทำลายผิวชั้นบน แล้วเร่งให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวใหม่ และกระตุ้นให้เกิดคอลลาเจนของผิวให้เพิ่มมากขึ้นๆ ซึ่งถือว่าขัดต่อการทำงานตามธรรมชาติของผิวเราอย่างร้ายกาจ จะเป็นการเร่งให้ผิวที่ดีอยู่แล้วเปลี่ยนสภาพโดยการผลัดผิว และทำให้การอุ้มน้ำของผิวตามธรรมชาติเสื่อมลง สร้างให้ผิวทำงานหนักมากขึ้น ตามความเข้มข้นของสารเคมีต่างๆ ที่มีอยู่ในครีมลดริ้วรอยค่ะ และผลลัพธ์ก็คือ ผิวไวต่อแดด ระคายเคืองง่าย เกิดสิวฝ้ากระ ผิวไม่เรียบเนียน เรียกได้ว่าเป็นการกระตุ้นผลเสียในระยะยาวต่ออายุผิวให้แก่ก่อนวัยในทางอ้อมนั่นเองค่ะ



มารู้จักสารต่างๆ ในครีมลดริ้วรอยกันดีกว่า ก่อนถึงเวลาตัดสินใจ

เรตินอยด์ (Retinoids)
เรตินอยด์ คือ กลุ่มอนุพันธ์ของกรดวิตามินเอได้แก่ Retinol, Retinoic Acid, Isotretinoin, Adphalene เป็นต้น ซึ่งถือเป็นสารตัวเอกที่มีบทบาทอย่างมาก สำหรับการผลิตครีมลดริ้วรอยเกือบทุกชนิดที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพราะมีสรรพคุณสารพัดประโยชน์ในการรักษาโรคทางผิวหนัง ควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์ให้เป็นปกติ ยับยั้งการเกิดเนื้องอกหรือมะเร็งในผิวหนัง ลดการอักเสบที่เกิดจากแสงแดด รักษาสิว และรอยแผลเป็นต่างๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนังแท้ เพิ่มการสะสม Glycosaminoglycan และเพิ่มการผลัดผิว ทำให้ผิวมีสีอมชมพูระเรื่อ จึงเปรียบเสมือนเป็นตัวยามหัศจรรย์ที่มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูสภาพผิวทุกชนิด จนสาวๆ หลงใหลไปตามๆ กันทีเดียวค่ะ

แน่นอนค่ะว่า ความพิเศษมหัศจรรย์ของสาร เรตินอยด์ จะสามารถทำให้สาวๆ แทบจะรีบไปช้อปมาใช้ทาเพื่อลดริ้วรอยกันในทันที แต่เดี๋ยวก่อนค่ะมาฟังความจริงอีกด้านหนึ่งของสารเรตินอยด์ ก็อาจจะทำให้เกิดผลเสียข้างเคียงได้เช่นกัน
คือ ทำให้ผิวระคายเคืองเนื่องจากการหลุดลอกของเซลล์ผิวหน้าตลอดเวลา ลอกเป็นขุย จึงทำให้แสบร้อน และไวต่อแสงแดดมากกว่าผิวปกติทั่วไป ทำให้ผิวคล้ำได้ง่ายๆ ในเวลาต่อมา จึงควรหลีกเลี่ยงใช้บริเวณผิวที่บอบบางมากๆ เช่น จมูก ปาก และดวงตา

กรดผลไม้ (AHA)
AHA หรือ Alpha Hydroxy Acid หรือกรดผลไม้ เป็นกรดยอดนิยมที่ใช้ในการปรนนิบัติผิวให้กับสาวๆ อย่างแพร่หลายค่ะ โดยเฉพาะกรดไกลโคลิคได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีกว่ากรดอื่นๆ เนื่องจากมีโมเลกุลที่เล็ก จึงสามารถซึมซับเข้าสู่ผิวได้ดี คุณสมบัติเด่นของกรดผลไม้นั้นมีมากมากหลายชนิด จนทำให้สาวๆ ทึ่งแน่นอนค่ะ เช่น ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ลดความหมองคล้ำ สร้างความกระจ่างใสให้กับผิวพรรณ ลดความมันบนผิวหน้า กำจัดสิวหัวดำ และเมื่อใช้สักระยะจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนอีกด้วย
นอกจากนี้ยังสามารถนำกรดผลไม้ที่มีความเข้มข้นสูงมาใช้ในการลอกผิวหน้า (Peeling) ได้ด้วย และควรเลือกใช้ครีมที่มีกรดผลไม้เป็นส่วนผสม ไม่ต่ำกว่า 3-8 % แต่มีการลดสภาพความเป็นกรดโดยทำการบัฟเฟอร์ (Buffered) ซึ่งจะช่วยลดการระคายเคืองของผิวได้ในระดับหนึ่งค่ะ

BHA
BHA หรือ Beta Hydroxy Acid มีคุณสมบัติอ่อนๆ สามารถละลายได้ดีในไขมัน ที่นิยมใช้ในปัจจุบันคือกลุ่ม Salicylic Acid สามารถซึมผ่านลงไปยังผิวชั้นลึกได้มากกว่า จึงช่วยขจัดสิ่งสกปรกต่างๆ ที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนได้ดี แต่ก็ทำให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ได้มากกว่า AHAs รมถึง AHAs ที่มีผสมอยู่ในเครื่องสำอางลดริ้วรอยได้มากกว่าเช่นกัน ทางการแพทย์ผิวหนัง ใช้ Salicylic Acid ความเข้มข้นประมาณ 2% ในการรักษาสิวและผิวหน้า

เพิ่มอายุให้ผิว หรือ ต่อต้านริ้วรอยกันแน่?
จากข้อมูลเบื้องต้นที่สบายอารมณ์นำมาให้สาวๆ ได้ไตร่ตรองกันในการซื้อหาครีมลดริ้วรอยในครั้งต่อๆ ไป ให้เหมาะกับสภาพอายุของผิวเราจริงๆ เพราะครีมที่เหมาะกับผิวอย่างแท้จริงนั้นจะช่วยเสริมให้ผิวเราดีขึ้น แต่ถ้าครีมบำรุง ครีมลดริ้วรอย ที่เกินพอดีต่ออายุผิวของเรา มีโอกาสสูงทีเดียวค่ะในระยะยาวที่จะทำให้ผิวเราทำงานหนักขึ้น ต้องใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่เข้มข้นขึ้น ส่งผลให้ผิวโดนทำร้าย และเร่งอายุให้ผิวของเราอย่างที่สาวๆ คาดไม่ถึง แพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญหลายท่านจึงแนะนำว่า สาวๆ ควรหยุดใช้ครีมที่เกินความต้องการของผิว และปล่อยให้ผิวทำงานตามธรรมชาติจะดีที่สุด รวมทั้งใช้สารกันแดดที่มีค่า SPF 15 ก็เพียงพอแล้ว เพราะหากเรายังใช้ Retinoids หรือ AHAs มากๆ ก็ยังทำให้ผิวไวต่อแดด...ถึงเวลาแล้วหรือยังคะสาวๆ สำหรับการมองหาผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่คู่ควรกว่า?

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook