เลือกพื้นไม้ให้เหมาะกับคอนโด พร้อมรู้จักข้อดีและข้อเสีย
ในปัจจุบันวัสดุปูพื้นบ้านและคอนโดมิเนียมถูกผลิตขึ้นด้วยนวัตกรรมต่าง ๆ ไว้รองรับความต้องการของเจ้าของห้องแต่ละไลฟ์สไตล์ อีกทั้งยังถูกออกแบบมาให้เลือกหลากหลายรูปแบบ มีความสวยงาม และการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปตามพื้นที่การใช้งาน
หนึ่งในวัสดุที่ได้รับความนิยมในการเลือกใช้เป็นวัสดุปูพื้นคอนโดมิเนียมนั่นก็คือ “พื้นไม้” เนื่องจากให้ความอบอุ่นและผ่อนคลายเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักพื้นไม้แต่ละประเภท ข้อดี และข้อเสีย รวมถึงเทคนิคการเลือกพื้นไม้ โดยมีรายละเอียดดังนี้
พื้นไม้แต่ละประเภท
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับวัสดุปูพื้นประเภทนี้กันก่อนว่า “พื้นไม้” ที่ใช้สำหรับปูพื้นในคอนโดมิเนียมที่ได้รับความนิยมมีกี่ประเภท และแต่ละประเภทมีลักษณะเป็นอย่างไร
1. พื้นไม้จริง
เป็นพื้นไม้ที่มีความสวยงามและให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่ใกล้ธรรมชาติ ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย สบายตา ส่วนใหญ่ไม้ที่นิยมนำมาทำเป็นไม้ปูพื้น ได้แก่ ไม้สักทอง ไม้สักขี้ควาย ไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้มะค่า ไม้ตะแบก และไม้ตะเคียน
นอกจากนั้นยังนิยมใช้ไม้ปูพื้นที่มีราคารองลงมา เช่น ไม้เต็ง และไม้รกฟ้าอีกด้วย ซึ่งการเลือกใช้ปูพื้นนั้นส่วนใหญ่แล้วจะขึ้นอยู่กับความชอบของเจ้าของห้อง ไม่ว่าจะเป็นลวดลาย หรือสีของไม้
2. พื้นไม้เอ็นจิเนียร์
เป็นพื้นไม้อีกประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมในการเลือกใช้ โดยพื้นไม้เอ็นจิเนียร์จะเป็นการผสมผสานกันระหว่างไม้จริงกับวัสดุสังเคราะห์อื่น ๆ คือ ใช้พื้นไม้จริงที่มีขนาดความหน้า 3 มม. ปิดทับไม้เนื้อแข็งที่ทำการอัดสลับกับเสี้ยนไม้ จากนั้นปิดทับด้วยยูวีอะคริลิคแลคเกอร์อีกชั้นในการเคลือบหน้าผิว เพื่อความสวยงามและทนทานต่อแรงขีดข่วนต่อพื้นไม้
3. พื้นไม้ปาร์เกต์
เป็นพื้นไม้จริงที่มีขนาดเล็ก โดยส่วนใหญ่จะมีขนาดความกว้าง 2-4 นิ้ว มีความยาวอยู่ระหว่าง 8-18 นิ้ว และมีความหนาไม่เกิน 1.8 เซนติเมตร ซึ่งราคาจะขึ้นอยู่กับขนาดของชิ้นไม้และชนิดของไม้ปาร์เกต์
4. พื้นไม้ลามิเนต
เป็นพื้นไม้สังเคราะห์ที่ทำขึ้นมาเพื่อทดแทนไม้จริง พื้นผิวสัมผัสให้ความรู้สึกเสมือนไม้จริง แต่มีราคาถูกกว่า โดยพื้นไม้ลามิเนตประกอบไปด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้
- Wear Layer หรือชั้นเคลือบผิว เป็นชั้นที่อยู่บนสุด ทำหน้าที่ในการเคลือบชั้นผิวของพื้นไม้ให้มีความคงทน ป้องกันรอยขีดข่วนที่เกิดจากการใช้งาน
- Pattern Layer หรือชั้นลวดลายไม้ เป็นแผ่นวัสดุพิมพ์ลายเลียนแบบสีและลวดลายของไม้ชนิดต่างๆ ใช้ในการปกปิดส่วนที่เป็นแกนไม้หลักที่สังเคราะห์ขึ้น (Substrate Later)
- Substrate Later หรือชั้นแกนหลัก เป็นวัตถุสังเคราะห์ทดแทนเนื้อไม้จริง ซึ่งประกอบไปด้วยเส้นใยสังเคราะห์ เศษไม้ กาว และเพิ่มคุณสมบัติต่าง ๆ (เช่น ทนความร้อน ทนปลวก ทนความชื้น) บีบอัดเข้าไว้ด้วยกันจนกลายเป็นแผ่นไม้
- Backing Layer หรือชั้นแผ่นรองพื้น ซึ่งใช้เป็นชิ้นส่วนประกอบล่างสุด ทำหน้าในการป้องกันความชื้นให้กับเนื้อไม้ในการปูพื้น
5. พื้นไม้ไวนิลหรือพื้นไม้ยาง
เป็นพื้นไม้สังเคราะห์ที่มีน้ำหนักเบาที่สุด นิยมนำมาเลือกใช้ปูพื้นคอนโดมิเนียม เนื่องจากสามารถปูพื้นได้ง่าย รวมเร็ว และมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ และราคาไม่แพง เนื้อไม้ไวนิลประกอบไปด้วย
- วัสดุฟิล์มเคลือบผิวหน้า
- ชั้นป้องกันรอยกดทับ
- แผ่นพิมพ์ลวดลายไม้
- แผ่นปิดหลังพื้นไวนิลปัองกันความชื้น
จะเห็นได้ว่าพื้นไม้แต่ละประเภทนั้นมีความแตกต่างกันออกไปอย่างชัดเจน ดังนั้นในการเลือกพื้นไม้สำหรับปูพื้นคอนโดมิเนียมนั้น จะต้องดูปัจจัยอื่น ๆ เปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียก่อนการตัดสินใจให้ดี เพื่อป้องกันให้ได้พื้นไม้ที่มีคุณภาพ และตรงตามความต้องการ
ข้อดี ข้อเสียของพื้นไม้แต่ละประเภท
พื้นไม้แต่ละประเภทต่างก็มีข้อดี และข้อเสียแตกต่างกัน ดังนี้
1. พื้นไม้จริง
ข้อดี แข็งแรง คงทน ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย อบอุ่น เป็นธรรมชาติ
ข้อเสีย มีราคาสูง เป็นวัสดุหายาก มีความยืด-หดตามสภาพอากาศ มีปัญหาเรื่องปลวกและไม่ทนความชื้น
2. พื้นไม้เอ็นจิเนียร์
ข้อดี มีหลากหลายรูปแบบให้เลือกใช้งาน หาได้ง่ายตามท้องตลาด ให้ผิวสัมผัสเสมือนไม้จริง แข็งแรงคงทน มีราคาให้เลือกตามเกรดวัสดุ รวมทั้งสามารถนำไปใช้งานได้ทันที
ข้อเสีย เมื่อใช้งานไปเป็นระยะเวลานาน จะไม่สามารถนำกลับมาขัดหน้าแผ่นไม้งานใหม่ได้เหมือนกันไม้จริง
3. พื้นไม้ปาร์เกต์
ข้อดี สามารถเลือกลวดลายได้ตามต้องการ ตามงบประมาณที่กำหนด ให้ผิวสัมผัสอบอุ่น สวยงาม
ข้อเสีย ไม่สามารถปูทับพื้นหินแกรนิตหรือพื้นกระเบื้องได้
4. พื้นไม้ลามิเนต
ข้อดี ให้ผิวสัมผัสเสมือนไม้จริง ราคาถูก จ่ายค่าบำรุงรักษาน้อยกว่าไม้จริง ทนปลวกและความชื้นได้ดี
ข้อเสีย หากทำการปูพื้นไม้ไม่ดีหรือได้ช่างปูไม่ชำนาญการ จะทำให้เกิดเสียงดัง พื้นไม้ไม่สม่ำเสมอ และพองตัว ชำรุดง่ายเมื่อเจอความเปียกชื้น
5. พื้นไม้ไวนิลหรือพื้นไม้ยาง
ข้อดี ราคาถูก หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด มีลวดลายให้เลือกมากมาย ปูพื้นได้ง่าย และใช้เวลาน้อย นอกจากนั้นยังสามารถปูพื้นได้เอง ทนแรงขีดข่วนและปลวก สามารถปูทับพื้นกระเบื้องเดิมได้โดยไม่ต้องรื้อถอน
ข้อเสีย หากมองด้วยตาจะทำให้รู้สึกสวยงามเหมือนไม้จริง แต่ผิวสัมผัสมีความแข็งกระด้างหากเดินด้วยเท้าเปล่า ไม่ทนต่อความชื้น เนื่องจากเกิดเชื้อราได้ง่าย
เทคนิคการเลือกพื้นไม้ให้เหมาะสมกับพื้นที่การใช้งาน
1. กำหนดพื้นที่การใช้งานออกเป็นส่วน ๆ เช่น โซนห้องนั่งเล่น ห้องครัว และห้องนอน
2. เลือกสีและลวดลายของไม้ให้เข้ากับห้องแต่ละแบบ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจกับกับพื้นที่ต่าง ๆ ภายในคอนโดมิเนียม
3. เลือกประเภทพื้นไม้ให้เข้ากับพื้นที่การใช้งาน เช่น ห้องครัว ควรเลือกประเภทพื้นไม้ที่ทำความสะอาดได้ง่าย ทนต่อความชื้น เนื่องจากห้องครัวเป็นพื้นที่ในการทำอาหาร ดังนั้นจึงมักเจอกับความชื้นและน้ำมัน
เทคนิคการเลือกพื้นไม้ให้เหมาะสมกับคอนโดแต่ละสไตล์
การเลือกตกแต่งห้องด้วยพื้นไม้ ส่วนใหญ่มักขึ้นอยู่กับความชอบตามไลฟ์สไตล์ของเจ้าของห้อง ดังนั้น เรามาดูกันว่าจะมีเทคนิคอะไรบ้างในการเลือกพื้นไม้ให้เหมาะสมกับคอนโดมิเนียมแต่ละสไตล์
1. สไตล์วินเทจ
ขึ้นชื่อในเรื่องวินเทจแล้ว การตกแต่งห้องก็ดูเหมือนจะย้อนเวลากลับไปยังยุคเก่า ๆ แต่ก็ไม่ทั้งหมด เพียงแต่เราเลือกตกแต่งห้องด้วยพื้นไม้สีเข้มตัดกับโทนสีอ่อนก็ทำให้ได้กลิ่นอายความเป็นวินเทจเช่นกัน
2. สไตล์โมเดิร์น
เป็นการแต่งบ้านที่เน้นความทันสมัย เท่ และเรียบหรู จึงทำให้ง่ายต่อการตกแต่ง เทคนิคในการเลือกใช้พื้นไม้จึงสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ เพียงแค่กำหนดโซนและพื้นที่การใช้งานภายให้ห้องเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือห้องครัว
3. สไตล์ลักซ์ชัวรี
เป็นการตกแต่งห้องที่มีความหรูหรา ดังนั้นใช้เทคนิคในการเลือกพื้นไม้โทนสีน้ำตาล เข้าเซตกับการตกแต่งห้องแบบคุมโทน ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ภายในคอนโดมิเนียมจะเน้นตกแต่งและเพิ่มฟังก์ชั่นด้วยการบิลท์อินลายไม้ทั้งหมด