อดีตพระเอกดัง ‘บดินทร์ ดุ๊ก' หายไปไหน

อดีตพระเอกดัง ‘บดินทร์ ดุ๊ก' หายไปไหน

อดีตพระเอกดัง ‘บดินทร์ ดุ๊ก' หายไปไหน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ถ้าจะย้อนกลับไปกว่า 30 ปี ผู้ชายคนนี้ บดินทร์ ดุ๊ก เคยเป็นนายแบบและพระเอกหนังที่โด่งดังสุดๆ ในยุคหนึ่ง นิตยสารหัวใหญ่ๆ ต้องมีเขาขึ้นปกเกือบทุกเล่ม หนังที่สร้างในยุคนั้นก็ต้องเป็นเขาที่ได้เล่นเป็นพระเอก รวมไปถึงนางเอกหน้าใหม่และมีชื่อในยุคนั้นก็ได้เล่นประกบกับเขาหมด

จากพระเอกหนังก็ก้าวมาเป็นพระเอกละคร ประเดิมเรื่องแรกให้กับช่อง 7 สีในเรือง "ตำรับรัก" ประกบกับ "แอน" สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์ ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของเขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น จนมีผลงานตามมามากมายในบทที่หลากหลาย จากพระเอกมาเป็นพระรองและตัวร้าย อาทิ "ปีศาจแสนกล", "นางทิพย์", "คนละโลก", "พรหมไม่ได้ลิขิต", "นางฟ้าหลงทาง" ฯลฯ จนมาถึงละครเรื่องสุดท้ายคือ "ลูกหลง" บดินทร์ ดุ๊ก ก็ทิ้งวงการละครหันมาเรียนต่อจนจบและผันตัวเองมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือ ไม่รับงานแสดงอีกเลยจนถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 10 ปี แฟนละครก็ยังคิดถึงและถามหางานแสดงของเขาอยู่ หรือบางคนก็อาจจะไม่รู้ว่าเขาหายจากวงการไปทำอะไรที่ไหน เขาจะกลับมาเล่นละครอีกไหม วันนี้เรามีคำตอบให้

 


ทำไมถึงทิ้งงานแสดงเพื่อมาเรียนต่อ?

"เพราะเรารู้สึกว่างานแสดงเริ่มซาลง คือก่อนหน้านั้นหน้าเราช้ำมากเพราะเล่นละครเยอะมากเรียกว่าเปิดไปช่องไหนเป็นเราหมดเพราะเราไม่ได้เซ็นสัญญาไม่มีค่ายก็เลยไปได้หมด ช่อง 3, 5, 7, 9 ใครเรียกเราก็ไปหมด จากงานที่มันเยอะเกินไปพอมันซาลงเราก็กลับไปเรียนต่อปริญญาตรี คือพอเราเข้าวงการก็ทิ้งการเรียนเลย คือสมัยก่อนไม่เหมือนสมัยนี้ดารามันน้อย พอเป็นช่วงของใครก็ต้องเอาไว้ก่อน แล้วพ่อเราก็หวังไว้อยากให้เราเรียนจบและเราก็อยากเรียนด้วย เพราะรู้สึกเริ่มอิ่มตัวกับงานแสดง มันเหนื่อยมากนะอยู่วงการมา 20 กว่าปีทำงานมาตลอดเหมือนไม่มีอิสระ

พอกลับมาเรียนต่อคณะนิเทศศาสตร์ เอกโฆษณาประชาสัมพันธ์ ที่มหาวิทยาลัยเกริก ก็สนุกดี พอเรียนจบก็ไปเที่ยวนั่นเที่ยวนี่ไปต่างจังหวัดไปทีเป็นเดือนเกือบปีเลยนะ ทางมหาวิทยาลัยเกริกก็ติดต่อเราให้มาเป็นอาจารย์สอนคือปกติคนที่เรียนจบปริญญาโทถึงจะมาสอนคนที่เรียนปริญญาตรี ส่วนคนที่จบปริญญาเอกก็มาสอนคนที่เรียนปริญญาโท แต่เราถึงจะจบแค่ตรีแต่เราได้เกียรตินิยมอันดับ 1 เลยสามารถสอนตรีได้โดยที่ไม่ต้องจบปริญญาโท ที่เรียนได้เกียรตินิยมคงเพราะมันตรงกับเรามั้งเพราะสายงานเราอยู่นิเทศจะเขียนอะไรก็ง่ายเพราะมีประสบการณ์"

ช่วงที่เป็นอาจารย์ต้องปรับตัวมากมั้ย?

"ด้วยความที่เราเป็นคนปรับตัวง่ายอะไรก็ได้ ซึ่งได้มาจากการที่อยู่กองถ่ายนั่นแหละจะไฮโซโลว์คลาสได้หมด จะกินนอนกับพื้นหรืออะไรเราได้หมด พอมาเป็นคนทำงานกลางวันต้องตื่นเช้าเลิกงานเป็นเวลาซึ่งเปลี่ยนไปเลย ช่วงอาทิตย์แรกกลับไปบ้านหงายหลังตึงเลยนะรู้สึกมันเหนื่อยมาก ไม่เหมือนไปทำงานกองถ่ายถึงจะถ่ายละครถ่ายหนังแต่เช้ายันดึกแต่ไม่มีการฟิกซ์เรื่องเวลา ถ่ายละครถ้ามีช่วงว่างเรายังแอบนอนได้แต่นี่นอนไม่ได้ไง

ส่วนวิชาที่เราสอนก็จะเป็นเกี่ยวกับโฆษณาและประชาสัมพันธ์เป็นส่วนใหญ่ อย่าง โฟโต้, แอ็กติ้ง, สื่อสารการตลาด, โฆษณาประชาสัมพันธ์เบื้องต้น, การสัมมนาประชาสัมพันธ์, การรณรงค์การผลิตสื่อเพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ ฯลฯ แต่วิชาอื่นๆ ถ้าเขามอบหมายอะไรให้เรามาก็ต้องสอนหมด วิชาไหนที่เราไม่เคยสอนก็ต้องไปศึกษาเองหรือวิชาไหนที่ไม่ชอบก็ต้องค้นคว้าหาข้อมูลใหม่ๆ แต่ถ้าเป็นวิชาเดิมโอเค. อย่างวิชาหลักทฤษฎีนิเทศเราสอนประจำตลอด 8 ปี เด็กเข้ามาใหม่ต้องผ่านเราหมด"

เป็นอาจารย์พิเศษหรืออาจารย์ประจำ?

"เราเป็นอาจารย์พิเศษมา 7 ปี เขาเรียกประจำสัญญาจ้างต้องเข้ามหาวิทยาลัย 3 วันในหนึ่งอาทิตย์คุณจะมีสอนหรือไม่มีสอนก็ต้องเข้าไป แต่พอปีสุดท้ายเขาให้เป็นอาจารย์ประจำเลยซึ่งต้องเข้ามหาวิทยาลัย 5 วันต่ออาทิตย์ เราก็กัดฟันทำอยู่ได้หนึ่งปีก็ลาออกเพราะไม่ไหว การเป็นอาจารย์ประจำ 5 วันเราไม่ไหวเพราะมันฟิกซ์ 8 โมงเช้าต้องเข้าไปสแกนนิ้ว พอ 5 โมงเย็นสแกนนิ้วออกแต่เรามีงานนอกด้วยอย่างงานอีเวนต์หรือบางทีเรารับจ๊อบทำโน่นทำนี่เป็นพิธีกรมันทำไม่ได้ แต่ทางมหาวิทยาลัยก็บอกว่าขอเป็นกรณีพิเศษก็ได้ เราก็ไม่อยากจะมาลาหยุดทุกอาทิตย์ก็ดูยังไงอยู่ก็เลยลาออกจากอาจารย์ประจำมาเป็นอาจารย์พิเศษคือสอนเฉพาะวิชาแล้วกลับเลย ตอนนี้สอนสองที่สอนวิชาแอ็กติ้งเฉพาะวันศุกร์ที่เกริกช่วงเช้าถึงบ่าย และสอนวิชาโฟโต้ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษมไม่วันพุธก็วันศุกร์"

ไม่คิดจะเลิกสอนหนังสือ?

"เพราะมันสนุกนะเหมือนเราค้นคว้าหาข้อมูลเตรียมสอนมาเยอะแล้วไง ถ้าหายไปก็เสียดายอุตส่าห์ซื้อหนังสือมาเป็นตั้งๆ เพื่อจะหาข้อมูลดีๆ ให้กับเด็ก และตอนเป็นอาจารย์ก็เขียนตำราเกี่ยวกับแอ็กติ้ง 1 เล่มจะทิ้งไปก็เสียดายถามว่าสนุกไหม สนุก แต่ถามว่าเงินดีมั้ย ไม่ดี อย่างเราเป็นอาจารย์พิเศษบางมหาวิทยาลัยค่าสอนน้อยมากแต่ก็ยังสอนเพราะสนุกไงและเป็นวิชาที่เราชอบเราได้ถ่ายทอด คือเราจะสอนแต่วิชาที่ชอบจริงๆ ตอนนี้จะสอนแค่แอ็กติ้งกับโฟโต้เพราะมันอยู่ในหัวของเราแล้ว ถามอะไรมาเราตอบได้หมด แต่ถ้าเป็นบางวิชาเราไม่อินกับมัน ถามมาเราตอบไม่ได้ก็ให้ครูที่มีความรู้ไปสอนดีกว่าเด็กจะได้ความรู้เต็มๆ"

เป็นอาจารย์มา 8 ปีมุมมองที่มีต่อเด็กไทยในยุคนี้?

"โอ้โฮ...เด็กไทยสมัยนี้สัมมาคารวะแย่มากๆ ไม่รู้จะว่ายังไง เราไม่ได้ต้องการให้เขามาไหว้เราแต่อยากให้เขาไปไหว้คนอื่น อาจารย์คนอื่นที่ไม่ได้สอนคุณก็ไหว้ได้ เห็นผู้ใหญ่เราก็ไหว้ได้หรือเวลาเดินก็ก้มหัวนอบน้อมหน่อย ขอโทษหน่อยไม่ได้เดินเป็นสากกะเบือ เอาง่ายๆ ที่เจอกับตัวเองเด็กที่เราสอนเทอมนี้พอเทอมต่อไปไม่ได้สอนมาเจอกันในลิฟต์มันไม่ทักเราเฉยเลย จนเราต้องแกล้งแซวก่อนว่าเคยรู้จักกันหรือเปล่าครับเนี่ย เขาก็บอกอาจารย์สวัสดีค่ะ เราไม่ได้อยากให้เขามาอะไรกับเราหรอกแต่เราอยากจะสอนเขา เราไม่ได้ภูมิใจที่เด็กมาไหว้มาเรียกอาจารย์ แต่เราจะภูมิใจถ้าเด็กที่เราสอนเป็นคนดีมีหน้ามีตาในสังคมมีมารยาทเราจะภูมิใจตรงนั้นมากกว่า คือเด็กที่มีสัมมาคารวะมันมีเสน่ห์และดูน่ารัก

แต่ไม่รู้ทำไมเด็กสมัยนี้จะมือหนักกันไปไหน อาจจะเป็นเพราะครอบครัวและสื่อถ้าดูหนังดูตลกมากๆ คือเราไมได้ว่าแต่ตามทฤษฎีดูสื่อมากๆ จะเป็นการปลูกฝังใช่มั้ย ขนบธรรมเนียมเดี๋ยวนี้มันไม่ค่อยมี เด็กสมัยนี้นอกจากขาดมารยาทแล้วยังขาดสามัญสำนึกจิตสำนึกไม่ค่อยมี เขาถึงต้องเอาคุณธรรมจริยธรรมพวกนี้กลับมาสอน จะเน้นในแต่ละวิชาต้องมีต้องสอดแทรกเข้าไป แต่บางทีเด็กโตเราไม่อยากจะไปอะไรมาก พอมากเขาก็โอ้ย...อาจารย์สอนอะไรน่าเบื่อ ถ้าไม่อยากให้สอนก็เป็นสิก็ทำสิเราจะได้ไม่ต้องสอน แต่คุณไม่ทำไง พอไม่ทำเราก็ต้องจ้ำจี้จำไชสอนตรงนั้น พอพูดไปก็หน้าหงิกหน้างอมาพูดทำไม

แต่บางคนที่มารยาทดีก็มีมาถึงนั่งคุกเข่าเราก็บอกมาคุกเข่าทำไมเราไม่ใช้เจ้า บางคนไม่มีก็ไม่มีเลย แต่บางคนมีก็มีซะโอเวอร์ แต่ถามว่าน่ารักมั้ยก็น่ารัก
แต่เด็กสมัยนี้ยอมรับว่ามีความกล้ามากซึ่งมันก็ดีในมุมมองของแอ็กติ้ง เด็กกล้าเราไม่ต้องไปนั่งเคาะเขามากแต่ต้องกล้าให้ถูกทาง บางคนกล้าใส่กระโปรงสั้นมาเรียนแล้วนั่งแต่เอาผ้าเช็ดหน้าหรือหนังสือปิดตรงเป้าเอาไว้เพื่ออะไรไม่รู้ ถ้าลำบากนักจะใส่มาทำไม เสื้อนักศึกษาก็พอดีตัวจนฟิตกระดุมแทบจะปริออกมาจนดูน่าเกลียด ซึ่งเราไม่รู้วัตถุประสงค์จะใส่มาเพื่ออะไร เรื่องการแต่งตัวของนักศึกษาสมัยนี้เป็นอะไรที่แรงมาก ยิ่งเป็นมหาวิทยาลัยเปิดยิ่งไปกันใหญ่โกรกผมสีนั้นสีนี้แต่งหน้ากันซะจัดมาก ซึ่งไม่รู้จะแก้ยังไงเพราะเรื่องเสื้อผ้าเป็นวงกว้างมาก เด็กจะอ้างว่าหาซื้อไม่ได้เพราะตลาดแฟชั่นทำมาอย่างนี้ แต่ถ้าเด็กไม่ซื้อใส่ล่ะก็ต้องเปลี่ยนใช่ไหม"

ช่วงที่เป็นอาจารย์เคยมีงานแสดงละครติดต่อบ้างไหม?

"มีนะประมาณ 7-8 เรื่องแต่ปฏิเสธไปเพราะบทไม่ดีเลย พอเราหยุดไปถ้าจะกลับมาเล่นควรเป็นบทดีๆ ไม่ใช่มากดบทเราก็เลยไม่เล่น เรื่องสำคัญคือเรื่องคิวขอทีตั้ง 4 วันก็บอกเราไม่ได้เล่นเป็นพระเอกจะเอาไปทำไมตั้ง 4 วัน เรารู้นี่เรื่องการทำงานว่าเป็นยังไงเราไม่ใช่พระเอกก็เอาคิวแค่วันสองวันพอแล้ว จะให้เราไปนั่งรอทำไมเราต้องสอนหนังสือ หรือเราเกิดสอนหนังสือแล้วอยู่ดีๆ โทร.มาให้เราไปเข้าฉากทำไงก็ทำไม่ได้เลยปฏิเสธไป จนตอนหลังเขาไม่ติดต่อมาเพราะรู้ว่าเราคงไม่เล่น ไม่ใช่เราไม่เล่นแต่ขอให้คุณทำงานแบบเป็นระบบ แต่ถ้าเป็นหนังใหญ่เล่นได้เพราะเขาฟิกซ์วันถ่ายล่วงหน้ามาเป๊ะๆ เราก็ทำใบลาขออนุญาตไปถ่ายได้

ถามว่าเราคิดถึงงานละครไหมก็คิดถึงนะ อย่างกลับไปเล่นหนังเรื่อง "แฟนเก่า" ก็สนุก แต่ละครยังไม่มีติดต่อมานะ ถ้ามีมาตอนนี้เล่นได้เพราะอิสระไม่ได้เป็นอาจารย์ประจำแล้ว แต่ละครคงอีกสักพักค่อยเล่นขอเวลาอีกครึ่งปีขอลดความอ้วนก่อน แต่เรื่องบทก็ต้องขอดูด้วยนะไม่ใช่ต้องเป็นบทที่ดีมาก แต่ขอเป็นบทที่มีความสำคัญมีความหมายหน่อย ไม่ใช่บทอะไรก็ไม่รู้ เอาบทกะโหลกกะลาอะไรมาให้เราเล่น ซึ่งนี่คือวงการบันเทิงไทยจะมองข้ามความสามารถความสำคัญหรือความอาวุโสของนักแสดง และไม่รู้จะให้นักแสดงรีบแก่ไปไหน คนแก่จริงๆ ก็มีเหมาะจะเล่นบทแม่แต่ไปกดให้เล่นเป็นยายแล้วเอาเด็กอายุ 20 กว่ามาเป็นแม่ จะรีบไปไหนพอถึงวัยเดี๋ยวเขาก็เล่นเป็นแม่เองก็ให้เขาเล่นตามวัยของเขาจริงๆ คือความเหมาะสมในการแคสติ้งไม่ค่อยมี"

ห่างวงการบันเทิงมานาน 10 ปี พอกลับมาอีกครั้งก็ยังเหมือนเดิม?

"ก็ยังเหมือนเดิมจะพัฒนาขึ้นมาหน่อยคือกล้าเอาความจริงเอาเรื่องปัจจุบันมานำเสนออย่างให้นางเอกร้ายซึ่งมันเป็นคนไง ชีวิตคนไม่ได้ดีเสมอไป ประเภทโดนกดขี่โดนด่าแล้วมานั่งร้องไห้สมัยนี้ไม่มีหรอก ถ้าด่ามาตบเลย ก็กล้านำเสนอ แต่ยังไงก็ยังเป็นเรื่องผัวๆ เมียๆ แย่งชิงผู้ชายผู้หญิงก็ยังอยู่แค่นี้ แต่ซีรีส์ของฝรั่งที่ดีๆ อย่าง "ซีเอสไอ" เขามีเรื่องพวกนี้ไหมไม่มีเลย ไม่มีเรื่องชู้สาวมีแต่ให้ความรู้"

ตอนนี้นอกจากงานสอนหนังสือแล้ว ยังมีงานอื่นอีกบ้างมั้ย?

"ก็มีทำรายการท่องเที่ยวชื่อรายการ "ช้อป ชิม ชม" เป็นพิธีกรเอง ของ บริษัท นีโอไลท์ เป็นเคเบิลทีวีช่องนีโอทีวี ทำมาได้ปีหนึ่งแล้วโดยเราทำเองหมด แต่ตอนนี้รายการหยุดทำก่อนเพราะมีปัญหากับคนที่ทำร่วมแต่เรากำลังจะกลับไปทำใหม่แต่ทำกับช่องอื่นแต่ใช้สปอนเซอร์ของที่นี่เพื่อขยายฐาน นอกจากนี้ก็มีงานพิธีกรรายการของนีโอทีวี รายการ "สวยได้รวยด้วยกับเพียวเซ็นเต้" และรายการ "นีโอวาไรตี้" เป็นรายการท่องเที่ยวออกช่อง 5 วันละ 5 นาที ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และ ทางนีโอไลท์เพิ่งให้เรามาทำตำแหน่งใหม่คือเป็นรอง ผอ. ช่องนีโอทีวี ให้เรามาช่วยพัฒนาช่องนีโอทีวี เราก็ต้องดูทั้งหมดเรื่องรายได้ คุณภาพของรายการ

ตอนนี้เราก็คงทำอยู่ตรงนี้พัฒนาช่องนีโอทีวีให้ดีขึ้น ไม่ต้องดีถึงฟรีทีวีหรอกแต่จะทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราทำได้ให้ช่องโอเค. แล้วเราจะกลับไปทำรายการท่องเที่ยวแต่ก็ยังเป็นเคเบิลทีวีอยู่ เพราะฟรีทีวีรายจ่ายสูง แต่เคเบิลทีวีสบายๆ ก็ทำสั่งสมประสบการณ์ไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ทำไปก่อน เพราะสมัยนี้ไม่จำเป็นต้องไปทำฟรีทีวีถ้าทำเคเบิลแล้วมันได้มันก็ได้เอง"






 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook