1 เดือน..ลดไปเกือบ 10 กิโลกรัม และนี่คือความลับของผม..
วันนี้ Sanook! Men มีเรื่องราวการลดน้ำหนักมาฝากกันอีกแล้ว มาดูกันดีกว่าว่าหนุ่มคนนี้ลดน้ำหนักได้ยังไง 1 เดือน ลดไปเกือบ 10 กิโลกรัม
เข้าประเด็นเลยแล้วกันนะครับ.. ผมมีความลับของการลดน้ำหนักของผมมาเล่าสู่กันฟังครับ.. จริงๆ ผมเคยลดน้ำหนักมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว และในแต่ละครั้งก็มาในรูปแบบที่แตกต่างกันไป...
ไม่ว่าจะเป็น...การไปเข้าฟิตเนส.. การฝังเข็มแล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ เพื่อสลายไขมัน.. งดแป้งทุกรูปแบบ หรือพูดง่ายๆคือ งดคาร์โบไฮเดรต (อันตรายมากๆ).. ทานอาหารเสริมลดความอ้วน
แต่เชื่อป่ะ... ทั้งหมดทั้งมวลนี้ไม่ได้ทำให้ผมผอมลงเล้ยย... มีแต่หลอก-ตังและเวลาของผม และบางวิธีก็ทำผมเป็นลมเป็นแล้งเกือบหามส่งโรงบาลมาก็มี ก็จะไปมีแรงได้ยังไง ก็ได้ความเชื่อแบบผิดๆ และรู้เท่าไม่ถึงการมาว่า ให้งดแป้ง งดคาร์โบไฮเดรต เพราะคาร์โบไฮเดรตไม่ว่าจะเป็นเชิงเดี่ยวหรือเชิงซ้อน สุดท้ายแล้วก็คือน้ำตาล แล้วน้ำตาลทำให้อ้วน ก็หยุดกินมันซะเลย แต่หารู้ไม่ว่า คาร์โบไฮเดรตนี้ยิ้มโครตเป็นสารอาหารหลักที่ร่างกายต้องใช้เป็นพลังงานในการดำรงชีวิตประจำวันเลยแหละ.. ผลก็คือ.. ไม่มีแรง เป็นลม ไปอย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้นครับ
ปล. การไปฟิตเนสไม่ใช่ว่าไม่ดีนะครับ แต่ผมคิดว่า ถ้าเทียบกับเงินและเวลาที่เสียไปในการเดินทางไปเล่นฟิตเนสเพื่อลดความอ้วน.. ผมว่ามันไม่คุ้มอะครับ.. เสียทั้งเงินเดือนละหลายพัน รถก็ติด โอ้บระเจ้า!! มันต้องมีวิธีสำหรับคนงบน้อย อยากออกกำลังที่บ้าน หรือแถวบ้าน อย่างผมมั่งสิน่า..
โอเคครับ.. ผมว่า.. ผมหยุดเล่าวิธีที่ไม่ work และมาเข้าเรื่องวิธีที่ work กันดีกว่า...
นิสนึ่งครับ!! หากเพื่อนๆลองฉุกคิดดูดีๆจะเห็นว่า.. วิธีที่ผมเคยทดลองลดน้ำหนักมาก่อนข้างต้น ส่วนใหญ่จะเป็นวิธีที่หวังว่าจะมีใครสักคนหรืออะไรสักอย่างมาช่วยทำให้ผมผอม ไม่ว่าจะไปสมัครฟิตเนส ซื้ออาหารเสริมมาทาน ฝังเข็ม..และผมเพิ่งจะเห็นแจ้งตามพระพุทธเจ้าตรัสว่า.. "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" การที่หวังจะพึ่งคนอื่น คิดว่าเค้าจะช่วยเราได้ โดยไม่คิดที่จะพึ่งตัวเอง หรือลงมือทำเอง มันไม่มีทางจะประสบความสำเร็จหรอกครับ!!
และนี่คือกฎข้อแรก และข้อเดียวในวิธีลดความอ้วนของผม.. "ต้องพึ่งตนเอง ลงมือทำ ไม่หวังพึ่งคนอื่นหรืออะไรที่จะมาทำให้เราผอมลงได้ เพราะมันไม่มีหรอก"
ณ จุดนี้... ถ้าคุณไม่เห็นด้วยกับกฎข้อนี้ คุณก็ไม่จำเป็นต้องอ่านความลับของผมต่อไปหรอกครับ.. เพราะคุณจะไม่มีทางทำมันได้หรอก.. เพราะขนาดคุณยังไม่เชื่อตัวคุณเองว่าทำได้เลย แล้วคุณจะผอมได้ยังไง??
สำหรับท่านที่เชื่อว่าตัวเองทำได้.. เชิญมาอ่านต่อกันทางนี้ครับ.. เรื่องมันมีอยู่ว่า..
ก่อนหน้าเดือนกรกฎาคม 2558.. ผมมีความรู้สึกทุเรศตัวเอง.. สงสารแฟน (ที่ต้องเดินกับอ้วนดำๆ อย่างผม).. ใส่เสื้อผ้าอะไรก็คับ.. รู้สึกแน่นและอึดอัดตัวไปหมด เนี่ยคือสภาพของผม ก่อนตัดสินใจลดความอ้วน...
หลังจากผมตั้งปณิธานอย่างแรงกล้าว่าจะ ไม่กลับไปอ้วนอีก ผมก็เริ่มปฏิบัติการลดพุง โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 58 และมีเป้าหมายตามนี้..
อยากเป็นตัวแทนคนอ้วนทุกคน (ที่อยากผอม) ที่จะลุกขึ้นมาบอกตัวเอง และบอกกับทุกคนว่า... "กูจะผอม.. ให้ได้!!" และต้องมีสุขภาพดีด้วย
โดยมีเงื่อนไขว่า...
จะไม่พึ่งอาหารเสริมหรือยาลดค.อ้วน
จะไม่เข้าฟิตเนสหรือจ้าง trainer ให้เปลืองตัง
จะไม่อดอาหาร
เส้นชัยอยู่ที่...
ลดน้ำหนัก 20 กิโล ภายใน 4 เดือนหรือ 4 เดือนครึ่ง เพื่อไปเข้าเส้นชัยในงานวิ่ง กรุงเทพมาราธอน 42 กิโเมตร @ 15 พ.ย. 58 นี้..
หลังตั้งปฏิญาณกับตัวเองเสร็จ.. ผมก็เริ่มหาข้อมูล ลองทำความเข้าใจกับภาวะ "อ้วน" หาว่าสาเหตุของความอ้วนนั้นเกิดมาจากอะไร?? มีปัจจัยอะไรบ้าง?? และแล้วผมก็เจอคำตอบ..
สภาวะอ้วนนั้นเกิดมาจากสมการง่ายๆคือ “กิน” มากกว่า “ออก” (Fat = In > Out)
“กิน” ในที่นี้คือ... สิ่งที่เรากินเข้าไปในแต่ละวัน
“ออก” ในที่นี้คือ... พลังงานที่เราเผาผลาญจากการทำกิจวัตรประจำวันหรือการออกกำลังกายซึ่งทั้ง “กิน” และ “ออก” ใช้หน่วยวัดพลังงานเหมือนกันคือ กิโลแคลอรี่ (Kcal) ซึ่งเรามักเห็นได้จากฉลากสินค้าบริโภคตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อ ซึ่งก่อนหน้านี้ผมไม่เคยสนใจเกี่ยวกับหน่วยบริโภคอาหารที่อยู่บนฉลากหรือบางครั้งแอบรำคาญเพื่อนๆที่จะกินอะไรแต่ละทีต้องมาคอยดูว่า อันนี้อันนั้นให้พลังงานกี่แคลอรี่ ผลก็เป็นอย่างที่เห็นครับ... ผม “อ้วน” เอาแต่ตามใจปากโดยไม่เคยถามร่างกายว่าไหวมั้ย? อิ่มยัง?
หลังจากที่หาข้อมูลอยู่สองวันสมองผมก็ประเมินผลว่า... ไอ้การที่คอยควบคุมปริมาณพลังงานที่ได้จาก “กิน” และ “ออก” เนี่ยแหละคือหนทางที่จะทำให้ผมลดความอ้วนได้แถมยังมีรูปร่างที่สมสัดส่วนอีกด้วย ผมจึงตัดสินใจยึดหลักการนี้ในการลดความอ้วนครั้งนี้..
• โดยปรกติแล้วผู้ชายsize เล็กถึงกลาง... จะมีความต้องการพลังงานที่ใช้ทำกิจวัตรประจำวันอยู่ที่ 1,600 – 2,000 กิโลแคลอรี่ ถ้าตัวใหญ่ก็อยู่ราวๆ 2,000-2,400 กิโลแคลอรี่
• ส่วนผู้ ญ size เล็กถึงกลาง... จะมีความต้องการพลังงานที่ใช้ทำกิจวัตรประจำวันอยู่ที่ 1,200 – 1,600 กิโลแคลอรี่ ถ้าตัวใหญ่ก็อยู่ราวๆ 1,600 – 2,000 กิโลแคลอรี่
สำหรับคนที่ใช้พลังงานมากในการทำงานหรือออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ คงต้องกินเพิ่มกว่าตัวเลขที่เกริ่นไว้ข้างต้นเพื่อจะได้มีพลังงานเพียงพอนะครับพี่น้องง^^
ทีนี้พอรู้ว่าร่ายกายต้องการพลังงานต่อวันเท่าไร.. เราก็จะสามารถกำหนดได้ว่า... เราจะ “กิน” อะไรเข้าไปเท่าไร และจะขับ “ออก” มาเท่าไร...
เนื่องจากตอนนี้ผมอยู่ในสภาวะที่ไม่สมดุลคือ “กินมากกว่าออก” คืออ้วนนั่นเอง... ผมจึงคิดว่าผมจะจำกัดพลังงานที่จะกินต่อวันอยู่ที่ 800 – 1,200 กิโลแคลอรี่ และต้องปล่อยออกมามากกว่าที่กินต่อวันเป็นหนึ่งเท่าตัวเป็นอย่างต่ำ เพื่อที่ร่างกายจะได้ไปเอาพลังงานสะสม (ไขมัน) มาใช้งาน
สรุปง่ายๆเรื่อง “การกิน”...
ยิ่งร่างกายไปเอาพลังงานสะสมมาใช้มากเท่าไร.. น้ำหนักก็จะลดลงนะครับพี่น้องง.. แต่อย่าขี้เกียจและหัวหมอ ที่จะไม่อยากออกกำลังกาย และเอาแต่กินน้อยๆ หรือแทบไม่กิน เพื่อให้ร่างกายไปเอาแต่ไขมันสะสมมาใช้พลังงานอย่างเดียว... อันตรายนะครับ!! เพราะถึงยังไงร่างกายก็ต้องการสารอาหารในแต่ละวัน เพียงแต่เราเลือกกินแต่อาหารที่มีแคลอรีต่ำ เช่น ตืมจืด แกงส้ม แกงเลียง (พวกที่ไม่ใช้น้ำมันหรือกะทิอะ) ทานกับข้าวกล้อง (ข้าวกล้องอยู่ท้องกว่าข้าวขาว ให้แคลอรี่เท่ากัน) มื้อละ 1-2 ทัพพี ทานอย่างนี้วันหนึ่ง 3 มื้อ แคลอรี่ไม่เกิน 1,000.. แน่นอน!!
พาพันอวยพร เลือกอาหารที่ทานแล้วอยู่ท้องนะครับ... อย่าอดนะ!! มันทรมาน!! และอาจถูกหามส่งโรงบาลได้ทุกเมื่อ
สรุปง่ายๆ ในเรื่องของการ "ออก" หรือ การ "เผาผลาญไขมันสะสม" ...
ควรเคลื่อนไหวร่างกายให้บ่อย หรือหากิจกรรม หรือกีฬาทำในแต่ละวัน และควรเผาผลาญแคลอรี่ต่อวันไม่ต่ำกว่า 2,300 กิโลแคลอรี และกินไม่เกิน 1,200 กิโลแคลอรี่ (ช่วงลดน้ำหนัก)
ยกตัวอย่างเช่น... ผมกินวันละ 1,200 กิโลแคลอรี่ และเผาผลาญไปวันละ 2,300 กิโลแคลอรี่ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว จะมีส่วนต่างอยู่ 1,100 กิโลแคลอรี่
จำเอาไว้ว่า... 7,700 กิโลแคลอรี่ที่ถูกเผาผลาญไป จะเท่ากับน้ำหนักตัวลดลงไป 1 กิโลกรัมนะครับ
ถ้าเก็บ spare การเผาผลาญเกินกว่าที่กินไปวันละ 1,100 กิโลแคลอรี่ ครบ 7 วัน... น้ำหนักจะลดไป 1 กิโลกรัม (โดยประมาณ) และถ้ายิ่ง spare ปริมาณการเผาผลาญแคลอรี่ในแต่ละวันยิ่งเยอะขึ้น แต่การกินเท่าเดิม ก็จะทำให้น้ำหนักลดลงเร็วขึ้นไปอีก
แต่ยังไงก็อย่าหักโหมเกินกำลังนะพี่น้องง.. สู้ๆๆๆ
หลังจากใช้หลักการควบคุมแคลอรี่ เข้า - ออก... เพียงแค่เดือนเดียว ผมลดจาก 78 กิโลกรัม ลงมาเหลือ 70.5 กิโลกรัม (ตามนี้ครับ)
ก่อนจบ...
ผมได้แต่งเพลง ทำคลิปเพื่อปลุกใจคนอ้วนที่อยากผอม ให้เลิกคิดที่จะพึ่งคนอื่น หรือสิ่งอื่นซะ!! แล้วหันมาพึ่งตัวเอง!! คุณผอมแน่ถ้าใจมา.. แล้วลงมือทำ!! สู้ๆครับ!!
หากเพื่อนๆ อยากมีเพื่อนร่วมทางผอมอย่างผมลดไปด้วยกัน.. และติดตามผลลัพธ์ว่าสุดท้ายแล้ว การควมคุมปริมาณแคลอรี่ เข้า - ออก ของผม จะทำให้ผมมีรูปร่างยังไง.. และจะผอมทันวิ่งกรุงเทพมาราธอนหรือไม่.. หรือร่วม share ข้อความและความรู้ดีๆ เกี่ยวกับการลดความอ้วน >> .. "Like" เลยที่เพจ fattyrealityshow หรือ www.facebook.com/fattyrealityshow
แล้วเรามาผอมไปด้วยกันนะครับ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก..
http://frynn.com/%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B…/
http://kcal.memo8.com/food-calorie-table/
http://health.sanook.com/489/