4 เรื่องควรรู้ ก่อนใช้ “ก้านเสริมดั้ง”

4 เรื่องควรรู้ ก่อนใช้ “ก้านเสริมดั้ง”

4 เรื่องควรรู้ ก่อนใช้ “ก้านเสริมดั้ง”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กลายเป็นเทรนด์ใหม่ของสาวๆ ที่อยากได้จมูกโด่งแบบไม่เจ็บตัว ในราคาหลักร้อย กับ “ก้านเสริมดั้ง” หรือที่เสริมจมูกเป็นก้านเล็กๆ 2 ก้าน นำไปดันบริเวณฐานรูจมูก กับรูจมูกส่วนปลาย ซึ่งเป็นทางออกของสาวๆ หลายคนที่มองว่าปลอดภัย ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องฉีดอะไรให้มีความเสี่ยง

แต่ กระทรวงสาธารณสุข ออกมาเตือนสาวๆ ถึงผลิตภัณฑ์ที่กำลังฮิตในกลุ่มสาวๆ ในขณะนี้ ว่าถึงแม้มันจะช่วยให้จมูกดูโด่งขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด ดูเหมือนจะปลอดภัย แต่จริงๆ แล้วการใส่วัตถุแปลกปลอมเข้าไปในโพรงจมูกนานๆ อาจเกิดการระคายเคือง อักเสบ ติดเชื้อ หรือแผลกดทับในจมูกได้ ถึงขนาดที่ว่าหากเกิดแผลติดเชื้อลุกลามใหญ่โต ลามไปถึงกระดูกอ่อน อาจถึงขั้นจมูกเน่าได้

1. ก้านเสริมจมูก เป็นเพียงการเสริมดั้งชั่วคราว ไม่ว่าจะใส่บ่อย หรือใส่นานสักเท่าใด ก็ไม่สามารถให้ผลลัพธ์จมูกโด่งสวยในระยะยาวได้

2. การใส่ก้านเสริมจมูกบ่อยๆ นานๆ อาจทำให้เยื่อบุภายในจมูกระคายเคือง อักเสบ ติดเชื้อ หรือแผลกดทับในจมูกได้

3. หากแผลที่เกิดขึ้นในจมูกเกิดอาการติดเชื้อ อาจลึกไปถึงกระดูกอ่อน อาจทำให้แผลรักษายากกว่าเดิม และรูปจมูกผิดทรง

4. ไม่ควรใส่อุปกรณ์นี้เป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานอน ไม่ว่าจะนอนเล่น หรือนอนหลับในตอนกลางคืน เพราะอาจหลุดเข้าไปอุดตันทางเดินหายใจ หรือกดทับนานจนเกิดเป็นแผลกดทับ หรือกระดูกอ่อนตายได้

 

ผู้ที่ไม่ควรใช้อุปกรณ์เสริมในจมูกดังกล่าว ได้แก่

1. ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ เพราะหากเกิดแผลโดยที่ไม่รู้ตัว การติดเชื้อจะลุกลามอย่างรวดเร็ว

2. ผู้ที่มีแผลในจมูกอยู่แล้ว และมีสิวง่าย

3. กลุ่มที่เสริมจมูกมาก่อนปลายของซิลิโคนมีความยาวอยู่แล้วไม่ควรใช้อุปกรณ์เสริมเพิ่ม เพราะอาจยึดโดนแผลที่เคยผ่าตัดมา ทำให้เกิดแผลทะลุเปิดทางให้เชื้อโรคเข้าสู่บริเวณที่เคยเสริมซิลิโคนไว้จมูกเน่าได้

นอกจากนี้ขอแนะนำผู้ที่ต้องการเสริมจมูกหรือการผ่าตัดเสริมความงาม ว่าอย่าหลงเชื่อการโฆษณาตามสื่อออนไลน์ ไม่แนะนำให้เสริมจมูกโดยการฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากอาจทำให้ตาบอดได้ และขอให้เลือกใช้บริการจากสถานบริการที่ได้มาตรฐาน มีแพทย์เชี่ยวชาญเป็นผู้ทำการผ่าตัด เนื่องจากพบว่า ปัจจุบันมีบริการเสริมความงามจำนวนมากเป็นแพทย์ที่ไม่ได้จบเฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่งที่ได้รับรองจากแพทยสภา จึงอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ เพราะฉะนั้นควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตามโรงพยาบาลที่เชื่อถือได้จริงๆ เท่านั้นค่ะ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook