โรคที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกช่วงเวลา ไม่จำกัดว่าเป็นฤดูไหน เรารู้จักกันดีในชื่อ "โรคงูสวัด" ที่ถึงแม้ว่าจะยังไม่เป็นโรคที่ถูกพูดถึงในวงกว้างมากนักในบ้านเรา แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราควรหันมาดูแลสุขภาพและความแข็งแรงของร่างกายเพื่อไม่ให้เกิดโรคดังกล่าวได้
โรคงูสวัด หรือชื่อในภาษาอังกฤษ คือ Herpes Zoster จัดว่าเป็นโรคผิวหนังประเภทหนึ่ง เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกันกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส คือ Varicella Zoster Virus หรือ VZV
ซึ่งเมื่อเป็นอีสุกอีใสแล้วเชื้อไวรัสจะทำการซ่อนตัวอยู่ตามปมประสาทต่างๆ ของร่างกาย เมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะที่อ่อนแอ ภูมิคุ้มกันต่ำลง เกิดความเครียด นอนพลับพักผ่อนไม่เป็นเวลา อดหลับอดนอน ติดเชื้อเอชไอวี หรือเป็นมะเร็ง เชื้อไวรัสชนิดนี้ก็จะทำการเพิ่มจำนวนส่งผลให้เกิดตุ่มพองใสจนกลายเป็นโรคงูสวัดนั่นเอง
โดยส่วนใหญ่พบผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ได้ในประเทศไทย พบมากในวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ มักเกิดบริเวณผิวหนังตามร่างกาย มีลักษณะเป็นผื่น หรือตุ่มตามยาว แต่โดยปกติแล้วจะขึ้นบริเวณบั้นเอว หรือแนวชายโครง ในบางคนอาจขึ้นที่ใบหน้า แขน หรือขา มีลักษณะที่คล้ายกันอยู่หนึ่งอย่าง คือ จะขึ้นซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายเท่านั้น
โรคงูสวัด เกิดขึ้นจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า วาริเซลลาซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus: VZV) ซึ่งเป็นเชื้อชนิดเดียวกันกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส โดยมีความแตกต่างอยู่ที่อีสุกอีใสนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่งูสวัดจะเกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ป่วยที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อนเท่านั้น เมื่อเชื้อดังกล่าวเข้าสู่ร่างกายจนเกิดเป็นอีสุกอีใสแล้ว เชื้อดังกล่าวก็จะเข้าไปหลบตามปมประสาท ทำให้กลายเป็นโรคงูสวัดได้ในภายหลัง กลุ่มผู้ป่วยงูสวัดที่พบมักจะเป็นกลุ่มผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงผู้ที่มีปัญหาทางด้านระบบภูมิคุ้มกัน หรือผู้ที่ใช้การรักษาด้วยยาบางชนิด อย่าง สเตียรอยด์ ตลอดจนผู้ที่อยู่ในช่วงการรักษาโรคมะเร็งด้วยรังสีวิทยา หรือเคมีบำบัด เพราะกลุ่มคนเหล่านี้จะมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอกว่าคนปกติ จึงทำให้มีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป
โรคงูสวัดไม่มีอันตรายร้ายแรงและหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งในผู้ป่วยบางคนหลังจากที่แผลหายแล้วอาจมีการปวดตามเส้นประสาทเป็นเวลานาน หรืออาจะเกิดภาวะแทรกซ้อมตามมาได้
ส่วนผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรคงูสวัดแล้วเกิดการเสียชีวิต นั่นอาจมีสาเหตุมากจากว่าร่างกายผู้ป่วยอยู่ในสภาวะที่อ่อนแอและขาดภูมต้านทานโรคที่แข็งแรง สามารถแบ่งการระยะของโรคงูสวัดออกได้เป็น 3 ระยะ ได้แก่
โรคงูสวัดสามารถติดต่อกันได้ง่ายด้วยการสัมผัส ระยะที่ติดต่อเป็นระยะที่มีผื่น ตุ่มน้ำใส และระยะตกสะเก็ด ส่วนในรายที่ยังไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน หากไปสัมผัสกับผู้ป่วยที่เป็นโรคงูสวัด หากไปสัมผัส บุคคลนั้นก็จะเป็นโรคอีสุกอีใสก่อน
ยาโดยปกติที่แพทย์ให้ไปสำหรับการรักษาอาการป่วยจากโรคงูสวัดนั้นจะไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ แต่ทำได้เพียงทำให้การอักเสบลดลงเท่านั้น โดยเชื้อไวรัสจะกลับไปฝังตัวอยู่ที่ปมประสาทเช่นเดิม หากร่างกายมีสภาวะที่อ่อนแอก็สามารถกลับมาเป็นอีกได้ ซึ่งระยะหวังผลการรักษาจะอยู่ที่ 3 วันเท่านั้น
สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ หากมีการตรวจพบแต่เนิ่นๆ ในบริเวณที่เจ็บนั้นมีตุ่มพองขึ้นด้วยในบริเวณเดียวกัน ผู้ป่วยต้องรีบเดินทางไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ยิ่งตรวจพบเจอเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถใช้ยาต้านทานไวรัสให้ได้ผลได้ อีกทั้งอาการเจ็บแสบหลังเกิดโรคนั้นก็จะยิ่งเกิดขึ้นได้ยาก
นอกจากการดูแลรักษาโรคงูสวัดด้วยตนเอง รวมถึงเดินทางไปพบแพทย์เพื่อตรวจสอบและบรรเทาอาการแล้ว ก็ยังได้มีการนำเอาสมุนไพรเข้ามาช่วยรักษาโรคงูสวัดกันอย่างแพร่หลาย อย่างการใช้ใบเสลดพังพอน
วิธีการก็ง่ายๆ เพียงนำใบเสลดพังพอนสดๆ 15 - 30 ใบตำให้แหลก แล้วผสมเข้ากับเหล้าโรง 28 ดีกรี ใช้พอกตามตุ่มของโรคงูสวัดให้ทั่ววันละ 2 - 3 ครั้งติดต่อกันเป็นประจำ ต่อมาให้ใช้ใบสดของเสลดพังพอนประมาณ 15 -20 ใบเช่นกัน ตำให้แหลกแล้วผสมเข้ากับน้ำซาวข้าวประมาณครึ่งถ้วยชา ดื่มเป็นประจำวันละ 2 ครั้งก่อนอาหารเพื่อเป็นการขับพิษ
หรือจะนำใบเสลดพังพอสด 10 - 15 ใบนำมาล้างให้สะอาดใส่ลงในครกตำยาตำให้ละเอียด จากนั้นตักลงภาชนะที่สะอาดและเติมเหล้าขาว หรือแอลกอฮอล์ให้พอท่วม ปิดฝาให้มิดชิด ตั้งทิ้งไว้เป็นเวลา 1 สัปดาห์ หมั่นคนยาทุกวัน
เมื่อครบตามระยะเวลาที่กำหนดแล้วให้กรองเอากากออกและเก็บน้ำใส่ภาชนะที่สะอาด วิธีใช้ให้นำน้ำยามาทาบริเวณที่ปวดบวม หรือใช้กากพอกลงบนตุ่มที่เกิดโรคงูสวัดร่วม หากต้องการใช้เป็นยาภายนอกเพื่อรักษาโรคงูสวัดให้ทาบริเวณที่เป็นวันละ 4 - 5 ครั้ง
สำหรับวิธีการป้องกันโรคงูสวัดไม่ให้เกิดขึ้นสามารถทำได้ง่ายๆ โดยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการสัมผัสผื่นในผู้ป่วยที่เป็นงูสวัด โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อน ในบางรายอาจใช้การฉีดวัคซีนป้องกันได้
เสลดพังพอนไม่ได้เป็นสมุนไพรเพียงชนิดเดียวที่ช่วยบรรเทาและรักษาโรคงูสวัดได้ แต่ยังมีสมุนไพรชนิดอื่นๆ อีกมากที่ช่วยบรรเทาอาการที่เกิดได้เป็นอย่างดี วันนี้เรามี 20 สมุนไพรรักษาโรคงูสวัดมาฝากกัน ดูกันสิว่าสมุนไพรชนิดใดที่สามารถรักษาโรคนี้ได้บ้าง
นี่ก็เป็นเรื่องราวความรู้ดีๆ ของโรคงูสวัด ที่ Sanook Health นำมาฝาก หวังว่าจะช่วยเป็นอีกหนึ่งภูมิคุ้มกันที่ทำให้เราหันมาดูแลใส่ใจสุขภาพของตัวเองกันมากขึ้น พยายามทำตามคำแนะนำจะดีที่สุด ออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ เท่านี้โรคงูสวัดก็จะไม่มากวนใจเราอีกต่อไป
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก Medicthai.com, mahosot.com, komchadluek.net, Frynn
ภาพประกอบจาก istockphoto