ทำไมเราถึง “ปวดก้นกบ” และรักษาอย่างไร

ทำไมเราถึง “ปวดก้นกบ” และรักษาอย่างไร

ทำไมเราถึง “ปวดก้นกบ” และรักษาอย่างไร
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ปวดก้นกบ อาจเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะวัยรุ่น วัยทำงาน สาเหตุมาจากพฤติกรรมในการใช้ชีวิตบางอย่างที่ส่งผลให้เกิดอาการปวดในบริเวณกระดูกก้นกบ สามารถรักษาให้หายได้ด้วยตนเอง หรือหากมีอาการหนักสามารถปรึกษาแพทย์ได้เช่นกัน

กระดูกก้นกบ คืออะไร

ผศ.(พิเศษ) นพ.นรา จารุวังสันติ แพทย์ฝ่ายออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ระบุว่า กระดูกก้นกบ เป็นกระดูกที่อยู่บริเวณปลายสุดของกระดูกสันหลัง ทำหน้าที่ในการรับน้ำหนักขณะนั่ง หรือการเอนตัวไปด้านหลัง ประกอบไปด้วยกระดูกอ่อน 3-5 ชิ้น เรียงตัวกัน โดยมีกล้ามเนื้อระบบขับถ่ายและเส้นเอ็นมายึดเกาะ

สาเหตุของอาการปวดก้นกบ

  • เคยเกิดอุบัติเหตุ หกล้มก้นกระแทกพื้น
  • การตั้งครรภ์
  • การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬาที่ใช้บริเวณกันกบหนัก เช่น การปั่นจักรยาน การพายเรือ
  • การนั่งในท่าที่ไม่ถูกอิริยาบถ หรือนั่งท่าเอนหลังในระยะเวลานาน
  • โรคอ้วน หรือน้ำหนักตัวน้อย
  • การติดเชื้อ มีเนื้องอก ซึ่งอาจเป็นการบ่งบอกถึงโรคมะเร็ง

อาการปวดก้นกบ

ผู้ป่วยจะมีอาการปวดบริเวณปลายสุดของกระดูกสันหลังเล็กน้อยไปจนถึงปวดรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อต้องมีการเปลี่ยนอิริยาบถ หรือขับถ่ายหรือเมื่อมีเพศสัมพันธ์ และอาจจะมีภาวะอื่นๆ ที่เกิดขึ้นตามมา เช่น ปวดหลัง วิตกกังวล นอนไม่หลับ

วิธีลดอาการปวดก้นกบด้วยตัวเอง

นพ. ชัยเดช สระสมบูรณ์ แพทย์ศัลยกรรมกระดูกและข้อ ด้านกระดูกสันหลัง ระบุถึงวิธีลดอาการปวดก้นกบ จากสาเหตุกระดูกก้นกบอักเสบหรือกระดูกก้นกบแตกหักร้าว ดังนี้

  1. ปรับท่าทางการนั่ง โดยโน้มตัวไปข้างหน้าแทนที่จะนั่งแบบเอนหลัง เหตุผลเพื่อป้องกันการกดทับของน้ำหนักตัวลงบนกระดูกก้นกบ
  2. นั่งบนหมอนหลุมหรือหมอนรูปโดนัท การใช้หมอนที่มีรูตรงกลางเพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดทับต่อกระดูกก้นกบ
  3. ประคบเย็น ภายหลังเกิดอุบัติเหตุใน 48 ชั่วโมงแรก ช่วยลดการอักเสบของกระดูก กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นบริเวณรอบกระดูกก้นกบได้
  4. ประคบร้อนและแช่น้ำอุ่น ควรทำหลังจากเกิดอุบัติเหตุไปแล้ว 48 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นให้ระบบไหลเวียนเลือดบริเวณกระดูกก้นกบดีขึ้น ช่วยให้อาการบาดเจ็บหายเร็วขึ้น
  5. กินยาลดอาการปวดและลดอักเสบ ถ้ามีอาการปวดมากแนะนำให้ปรึกษาแพทย์และพิจารณาใช้ยาในกลุ่ม NSAIDs เช่น Ibuprofen Diclofenac Celebrex และ Arcoxia
  6. รับประทานอาการประเภทผักที่มีไฟเบอร์สูงหรือใช้ยาถ่ายประเภทที่ทำให้อุจจาระอ่อนตัว เพื่อลดความเจ็บปวดขณะขับถ่าย
  7. ทำกายภาพบำบัด โดยการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อพิจารณาการใช้อุปกรณ์ทางกายภาพเพื่อลดอาการปวดและอาการอักเสบของกระดูกก้นกบ
  8. หากทำทุกวิธีแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นภายใน 3 เดือน ควรพบแพทย์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook