วิธีป้องกัน “มะเร็งปากมดลูก” มะเร็งในไม่กี่ชนิดที่ป้องกันได้จริง

วิธีป้องกัน “มะเร็งปากมดลูก” มะเร็งในไม่กี่ชนิดที่ป้องกันได้จริง

วิธีป้องกัน “มะเร็งปากมดลูก” มะเร็งในไม่กี่ชนิดที่ป้องกันได้จริง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“มะเร็งปากมดลูก” เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 2 ของผู้หญิง และทำให้เสียชีวิตมากถึง 14 คนต่อวัน สิ่งที่หลายคนไม่ทราบ คือ มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งไม่กี่ชนิดที่ป้องกันได้ คือ มีระยะก่อนมะเร็งที่สามารถตรวจพบได้ เพื่อหาทางป้องกัน ดูแลรักษาที่เหมาะสม และลดความรุนแรงของโรค นอกจากนี้ เรายังสามารถฉีดวัคซีนป้องกัน เพื่อลดโอกาสการเกิดโรคได้อีกด้วย 

บทความตอนนี้จึงได้เชิญ พญ.ชลิดา เรารุ่งโรจน์ แพทย์เฉพาะทางสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา-มะเร็งนรีเวชวิทยา โรงพยาบาลนวเวช มาให้ความรู้เกี่ยวกับมะเร็งปากมดลูก รวมทั้งวิธีคัดกรอง และป้องกัน เพื่อสาวๆ อยู่ห่างไกลจากโรคร้ายนี้ 

อาการของมะเร็งปากมดลูก

อาการในระยะเริ่มแรกของมะเร็งปากมดลูกมักไม่ปรากฏให้เห็นชัด แต่สามารถตรวจพบได้โดยการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก เมื่ออาการเริ่มรุนแรงอาจมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด มีเลือดออกขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือมีตกขาวผิดปกติ ส่วนอาการในมะเร็งระยะลุกลาม ผู้ป่วยอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ขาบวม ต่อมน้ำเหลืองโต ไตวาย ปัสสาวะหรืออุจจาระมีเลือดปน

สาเหตุมะเร็งปากมดลูก 

มะเร็งปากมดลูก เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์เสี่ยงสูง โดยสายพันธุ์ที่พบได้บ่อยที่สุดได้แก่ สายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งมาจากการมีเพศสัมพันธ์

ป้องกันมะเร็งปากมดลูกอย่างไร

นอกจากการรับวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกแล้ว การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ก็เป็นวิธีที่จะป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้อย่างหนึ่ง ดังนั้นผู้หญิงทุกคนควรเข้ารับการตรวจมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว ส่วนผู้หญิงที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ ควรเริ่มตรวจเมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไป ปัจจุบันมี 3 วิธี ได้แก่

  1. แปปสเมียร์ (Pap Smear)

คือการป้ายเซลล์จากปากมดลูกบนแผ่นกระจกสไลด์เพื่อตรวจหาเซลล์ที่ผิดปกติ

  1. Liquid Based Cytology

คือการป้ายเซลล์จากปากมดลูกใส่ในของเหลวเพื่อตรวจหาเซลล์ผิดปกติ ซึ่งให้ผลตรวจที่ชัดเจนมากขึ้น

  1. HPV Testing

คือการตรวจหาเชื้อไวรัสสายพันธุ์เสี่ยงสูงต่อมะเร็ง ให้ผลตรวจที่ละเอียดมากขึ้น 

รู้จักวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก  

วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก คือ วัคซีนที่ป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papilloma Virus) ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก ในประเทศไทยมีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่

  1. Bivalent Vaccine

หรือชื่อว่า Cervarix สามารถป้องกันเชื้อไวรัส HPV 16 และ 18

  1. Quadrivalent Vaccine

หรือชื่อว่า Gardasil สามารถป้องกันเชื้อไวรัส HPV 16 และ18 ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก และป้องกันไวรัส HPV สายพันธุ์ 6 กับ 11 ซึ่งเป็นสาเหตุของหูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศ 

  1. Nonavalent vaccine

หรือชื่อว่า Gardasil 9 ซึ่งเป็นวัคซีนตัวล่าสุด สามารถป้องกันเชื้อไวรัส HPV เพิ่มมาอีก 5 สายพันธุ์จากวัคซีน Gardasil ซึ่งสายพันธุ์ที่เพิ่มมา ได้แก่ 31, 33, 45, 52, 58                                                               

HPV vaccine ฉีดอย่างไร

สำหรับวัคซีนชนิดนี้จะฉีดเข้าที่กล้ามเนื้อ (Intramuscular Injection or IM) ที่ต้นแขนหรือสะโพก จำนวน 3 เข็ม โดยเข็มแรกสามารถเลือกวันที่สะดวก เข็มที่สองจะฉีดหลังจากเข็มแรกประมาณ 1-2 เดือน และเข็มที่ 3 จะฉีดหลังจากเข็มแรก 6 เดือน 

ควรฉีดวัคซีนตอนอายุเท่าไร

การฉีดวัคซีนในเด็กจะกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้สูงกว่าผู้ใหญ่ โดยฉีดวัคซีน 2 ครั้งจะสามารถกระตุ้นภูมิ  ได้เท่ากับการฉีดวัคซีน 3 ครั้งในผู้ใหญ่ ดังนั้นในเด็กอายุ 9-15 ปี จะฉีดวัคซีนเพียง 2 เข็ม โดยให้ฉีดได้ตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไป ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่หากเลยวัยเด็กมาแล้ว ประสิทธิภาพของวัคซีนจะดีที่สุดในผู้ที่ไม่เคยได้รับเชื้อไวรัส HPV หรือผู้ที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์

วัคซีนมีผลข้างเคียงหรือไม่

ส่วนใหญ่อาการมักเป็นเล็กน้อยและหายได้เอง และเป็นอาการข้างเคียงบริเวณที่ฉีดยา เช่น ปวด บวม แดง และคัน จึงควรฉีดยาข้างที่ไม่ถนัด บางคนอาจมีอาการไข้ ปวดศีรษะ ผื่นคัน ไม่พบผลข้างเคียงที่ร้ายแรง

เป็นเรื่องน่ายินดีที่มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งไม่กี่ชนิดที่สามารถป้องกันได้ โดยควรตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกปีละครั้งในการตรวจโดยวิธี Pap smear และ Liquid base cytology และแนะนำให้ตรวจทุก 3 ปีถ้าใช้วิธีการตรวจหาเชื้อ HPV ส่วนการตรวจภายในเพื่อหาโรคทางนรีเวช ยังแนะนำให้ตรวจทุกปีเหมือนเดิม  หลายคนหวาดกลัวและไม่กล้าจะตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก แต่ในความจริงแล้ว การตรวจคัดกรองไม่มีความน่ากลัวใด ๆ เมื่อเทียบกับอาการของโรคมะเร็งปากมดลูก และความทรมานจากการรักษา การตรวจคัดกรองจึงเป็นการป้องกันและรักษาที่ดีที่สุดในทุกช่วงเวลา

ส่วนการฉีดวัคซีนป้องกันสามารถลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งปากมดลูก ซึ่งนำไปสู่ค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาลในการรักษา ค่าเสียเวลา และอีกค่าใช้จ่ายอื่น ๆ จิปาถะ จึงคุ้มค่ากับการลงทุน อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการตัดสินใจ เพื่อวัคซีนที่ฉีดจะได้มีประสิทธิภาพ และมีความเหมาะสมกับแต่ละบุคคล

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook