รีวิว Mitsubishi Attrage และ Mirage ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ อีโคคาร์อ็อพชั่นเพียบ

รีวิว Mitsubishi Attrage และ Mirage ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ อีโคคาร์อ็อพชั่นเพียบ

รีวิว Mitsubishi Attrage และ Mirage ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ อีโคคาร์อ็อพชั่นเพียบ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     แม้ว่ากระแสรถยนต์อีโคคาร์จะแผ่วลงไปต่างกับสมัยที่เริ่มบุกตลาดในยุคแรกราว 3-4 ปีที่แล้ว แต่รถยนต์กลุ่มนี้ก็ยังมีจุดเด่นที่ความคุ้มค่า เน้นขับง่าย เหมาะสำหรับใครที่กำลังมองหารถคันแรก เน้นความประหยัดคุ้มค่าเป็นพิเศษ

     มิตซูบิชิที่ถือเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกตลาดอีโคคาร์ มาวันนี้ได้ส่ง Attrage และ Mirage โฉมไมเนอร์เชนจ์ใหม่ลงตลาดเป็นที่เรียบร้อย ชูจุดเด่นที่ความคุ้มค่า ให้อุปกรณ์มาตรฐานชนิดรถใหญ่ยังอาย แถมยังผ่านมาตรฐานอีโคคาร์เฟส 2 ที่เข้มงวดกว่าเดิม การันตีถึงความประหยัดแบบไม่ต้องพึ่งพาระบบไฮบริด

 

     ทางมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จึงเชิญทีมงาน Sanook! Auto เข้าร่วมทดสอบ มิตซูบิชิ แอททราจ และมิราจ ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ บนเส้นทางกทม. – ฉะเชิงเทรา เพื่อพิสูจน์ว่าทั้ง 2 รุ่นใหม่ จะคุ้มค่าเงินที่เสียไปสักแค่ไหน

     มิตซูบิชิ แอททราจ และมิราจ ถูกเปิดตัวเป็นครั้งแรกในปี 2555 และ 2556 โดยปัจจุบันมียอดขายรวมแล้วกว่า 550,000 คัน โดยแบ่งเป็นยอดขายสะสมในประเทศถึง 126,000 คัน นอกนั้นเป็นยอดส่งออกทั้งหมด นับได้ว่าเป็นรถยอดนิยมรุ่นหนึ่งของไทยเลยทีเดียว

     ก่อนอื่นเรามาอธิบายถึง Attrage และ Mirage โฉมไมเนอร์เชนจ์ใหม่ กันก่อนดีกว่า ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง



     ในรุ่น Mirage ถูกออกแบบใหม่ให้ดูหรูหรา พรีเมี่ยมขึ้นอย่างชัดเจน ด้านหน้าติดตั้งไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ Bi-Xenon และไฟหรี่ Spectrum LED ที่มีลักษณะเป็นเส้นดูสวยงาม ขณะที่ด้านท้ายติดตั้งไฟท้ายแบบ LED ชุดกันชนหน้า-หลังถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยกันชนหน้าถูกตกแต่งด้วยแถบโครเมี่ยมชิ้นยาวพร้อมไฟตัดหมอก ติดตั้งล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้วแบบทูโทน พร้อมยางขนาด 175/55 R15

 

     ขณะที่รุ่น Attrage มีการเปลี่ยนแปลงน้อยหน่อย โดยยังคงดีไซน์ไฟหน้า-ไฟท้ายเช่นเดิม แต่มีการปรับส่วนกันชนใหม่ ตกแต่งด้วยโครเมี่ยมบริเวณไฟตัดหมอก พร้อม Daytime Running Light แบบ LED กระจังหน้าตกแต่งด้วยโครเมี่ยมรมดำเพิ่มความดุดันมากขึ้น พร้อมล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้วสีเงินรมดำ และยางขนาด 185/55 R15

     โดยรวมแล้ว Mirage ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ จะถูกออกแบบให้ดูหรูหรามากขึ้น ขณะที่ Attrage จะดูให้อารมณ์สปอร์ตมากกว่า

 

     ทั้งสองรุ่นถูกออกแบบภายในคล้ายกัน โดย Attrage ใหม่ ติดตั้งเบาะหนังสีดำเย็บด้ายสีแดง พวงมาลัยหุ้มหนัง 3 ก้าน พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ขณะที่ Mirage จะเป็นเบาะผ้า พร้อมพวงมาลัยหุ้มหนังเช่นกัน

     ทั้งคู่ติดตั้งหน้าจอเครื่องเสียงแบบสัมผัสขนาด 6.5 นิ้ว รองรับ CD/DVD/MP3 รองรับ Bluetooth และมีระบบนำทางให้ในตัว โดยมีปุ่มควบคุมการสั่งงานด้วยเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ที่พวงมาลัยให้ด้วย

     จุดเด่นของ Attrage และ Mirage ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ คือ ระบบความปลอดภัยขั้นสูงที่ไม่มีในรถรุ่นใหญ่กว่าบางรุ่นด้วยซ้ำไป โดยทั้งคู่มาพร้อมระบบเตือนกันชนด้านหน้าตรงพร้อมชะลอความเร็ว FCM-LS หรือ Forward Collision Mitigation System – Low Speed ซึ่งเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งบริเวณกระจกหน้า จะคอยตรวจจับรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่อยู่ด้านหน้า และจะสั่งการเบรกจนหยุดสนิทให้อัตโนมัติที่ความเร็วไม่เกิน 15 กม./ชม. ซึ่งแม้ว่าจะเป็นความเร็วที่ไม่มากนัก แต่ก็ช่วยป้องกันในกรณีเผลอปล่อยเบรกขณะใส่เกียร์ D ได้

 

     นอกนั้นยังระบบตัดกำลังชั่วคราวเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรง RMS – FORWARD หรือ Radar Sensing Misacceleration Mitigation System – Forward ช่วยป้องกันในกรณีที่เผลอเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรง ขณะที่มีสิ่งกีดขวางด้านหน้าอยู่ ป้องกันให้รถไม่พุ่งไปข้างหน้าโดยไม่ตั้งใจเมื่อมีสิ่งกีดขวาง ซึ่งเหล่านี้ถือเป็นอีโคคาร์เจ้าเดียวในตลาดที่ติดตั้งมาให้

     Attrage และ Mirage ยังมีระบบควบคุมความปลอดภัยต่างๆให้ครบครันไม่แพ้รุ่นใหญ่ ได้แก่ ระบบควบคุมการเสถียรภาพการทรงตัว ASC ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TLC และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน เป็นต้น

 

     ทั้งสองรุ่นติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินรหัส 3A92 ความจุ 1.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 78 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 100 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Invect III CVT และเกียร์ธรรมดา 5 สปีดให้เลือก

     แม้ว่าจะใช้เครื่องยนต์บล็อกเดิม แต่ถูกปรับปรุงให้มีอัตราสิ้นเปลืองต่ำลง เพื่อให้ผ่านมาตรฐานอีโคคาร์เฟส 2 โดยรุ่น Mirage มีตัวเลขอยู่ที่ 23.3 กม./ลิตร ขณะที่ Attrage มีตัวเลขด้อยกว่าเล็กน้อยที่ 23.8 กม./ลิตร ซึ่งเป็นผลมาจากตัวถังที่มีขนาดใหญ่กว่า ต้องแบกรับน้ำหนักมากกว่านั่นเอง ซึ่งการใช้งานจริงไม่ต่างกันเท่าใดนัก ขึ้นอยู่กับลักษณะการขับขี่เสียมากกว่า

 

     ระบบความปลอดภัยนอกเหนือจากที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ทั้งคู่มาพร้อมถุงลมนิรภัยคู่หน้า ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบเสริมแรงเบรก BA ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAS ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ASC และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCL เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อยตั้งแต่ตัวล่างสุดขึ้นมา แต่ถ้าเป็นรุ่น Attrage จะได้กล้องมองหลังเพิ่มขึ้นมาด้วย

     เส้นทางทดสอบในครั้งนี้ไม่ไกลจากกรุงเทพฯมากนัก อยู่ที่จังหวัดฉะเชิงเทรานี่เอง โดยขาไปเราได้ทดสอบตัว Attrage รุ่นท็อปสุดก่อน



     เมื่อเข้ามานั่งในห้องโดยสารของแอททราจใหม่ ก็รู้สึกถึงความกว้างขวาง โปร่งสบาย รวมถึงห้องโดยสารด้านหลังที่สามารถนั่งได้สบายเช่นกัน เหมาะสำหรับการใช้งานในแบบครอบครัว

     อัตราเร่งของ Attrage ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานทั่วไปตามสไตล์เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร แต่การใช้เกียร์อัตโนมัติ CVT ที่เปลี่ยนอัตราทดได้ต่อเนื่อง ก็ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ราบลื่น ไม่มีอาการสะดุด รวมถึงกำลังที่มีให้อย่างต่อเนืองเช่นกัน

 

     เราลัดเลาะขึ้นทางด่วน เพื่อจะมุ่งหน้าไปยังถนนมอเตอร์เวย์ชลบุรี ซึ่งการจราจรบนทางด่วนช่วงเช้าค่อนข้างติดขัด แต่ด้วยบอดี้ที่มีขนาดกะทัดรัดก็ช่วยให้คล่องตัว มุดไปตามการจราจรได้สบาย แต่จุดสังเกตคือพวงมาลัยที่เซ็ตอัตราทดมาค่อนข้างกว้าง ทำให้การเปลี่ยนเลนแต่ละครั้งนั้น รู้สึกว่าต้องหมุนพวงมาลัยมากกว่าปกติเล็กน้อย ซึ่งอาจลดความสนุกในการขับขี่ในเมืองไปบ้าง แต่เมื่อถึงย่านความเร็วสูง ก็จะช่วยให้พวงมาลัยไม่ไวจนเกินไป โดยเฉพาะสำหรับรถที่มีขนาดเล็กเช่นนี้

     เมื่อมาถึงช่วงถนนมอเตอร์เวย์ที่พอใช้ความเร็วได้นั้น พบว่าแอททราจสามารถขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้อย่างสบายใจ เสียงภายนอกเล็ดลอดพอให้ได้ยินบ้าง ส่วนใหญ่มาจากพื้นถนนและกระจกบังลมหน้า แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาแต่อย่างใด

     ถือเป็นอีโคคาร์ที่สามารถใช้งานได้ทั่วไทย  ไม่จำกัดว่าจะต้องขับขี่ในเมืองเพียงอย่างเดียว เพียงแต่อาจต้องไปแบบเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน เน้นเอาความประหยัดเสียมากกว่า

 

     หลังจากมาถึงจุดหมายแวะทานอาหารกลางวันกันเรียบร้อย ขากลับผู้เขียนได้มีโอกาสนั่งโดยสาร Mirage ตัวท็อปสุดกลับมายังกรุงเทพฯ ทำให้เห็นว่าช่วงล่างของมิราจจัดว่าเซ็ทมาแบบพอดีๆ ไม่แข็งหรือนิ่มยวบจนเกินไป โดยสารทางไกลได้อย่างสบาย ขณะที่ฟังก์ชั่นภายในก็มีให้แบบเหลือๆ จะต่อบลูธูทฟังเพลงจากมือถือก็ทำได้

     แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือหน้าตาของมิราจใหม่ ที่ออกแบบให้ดูลงตัวมากขึ้น จากเดิมที่อาจดูประหยัดไปสักหน่อย มาคราวนี้ถูกปรับโฉมใหม่ให้ดูทันสมัย มีทั้งไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์แบบเดียวกับรถรุ่นใหญ่ รวมถึงไฟท้ายแบบ LED ทำให้มิราจ ไมเนอร์เชนจ์ กลับมาดูน่าสนใจกว่ารุ่น 4 ประตู อย่าง แอททราจด้วยซ้ำไป

 

     สรุป Mitsubishi Attrage และ Mirage ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มค่าในด้านอ็อพชั่นเป็นหลัก ด้วยฟังก์ชั่นที่จัดเต็มเหนือคู่แข่ง ระบบความปลอดภัยที่รถ C-Segment หลายรุ่นยังไม่มีด้วยซ้ำไป เครื่องยนต์บล็อกเดิม แต่ประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น รวมถึงรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูสวยงามลงตัวกว่าโฉมเดิมอย่างเห็นได้ชัด ถือเป็นรถที่ดึงดูดลูกค้าให้สามารถตัดสินใจซื้อหาได้ง่ายขึ้น ส่วนรุ่น 4 ประตู หรือ 5 ประตู รุ่นไหนน่าสนใจกว่ากันนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการใช้งานของแต่ละคนเลยครับ เพราะทั้งคู่ใช้พื้นฐานเดียวกัน ภายในก็แทบจะเหมือนกันทุกประการ เอาเป็นว่ามันเป็นรถที่น่าใช้กว่าเดิมเยอะเลยครับ

 

     ราคาจำหน่าย

     Mitsubishi Attrage ไมเนอร์เชนจ์

  • GLX MT - 456,000 บาท
  • GLX CVT - 490,000 บาท
  • GLS CVT - 545,000 บาท
  • GLS-LTD - 594,000 บาท


     Mitsubishi Mirage ไมเนอร์เชนจ์

  • GL MT - 383,000 บาท
  • GLX MT - 439,000 บาท
  • GLX CVT - 473,000 บาท
  • GLS CVT - 539,000 บาท
  • GLS-LTD - 567,000 บาท

 

     ขอขอบคุณคณะผู้บริหารและทีมงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้เกียรติเชิญเข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้ และอำนวยความสะดวกเป็นอย่างดี

 

 

อัลบั้มภาพ 66 ภาพ

อัลบั้มภาพ 66 ภาพ ของ รีวิว Mitsubishi Attrage และ Mirage ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ อีโคคาร์อ็อพชั่นเพียบ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook