รีวิว Subaru Forester ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ นี่สิเอสยูวีตัวจริง!
คำที่ถูกค้นบ่อย
    Sanook//s.isanook.com/sr/0/images/logo-new-sanook.png60060
    //s.isanook.com/au/0/ud/10/53381/1.jpgรีวิว Subaru Forester ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ นี่สิเอสยูวีตัวจริง!

    รีวิว Subaru Forester ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ นี่สิเอสยูวีตัวจริง!

    2016-05-25T16:51:33+07:00
    แชร์เรื่องนี้

         หลังจากโกยยอดขายแบบเทน้ำเทท่าสำหรับ Subaru XV ซึ่งเป็นครอสโอเวอร์รุ่นเล็กของทางค่าย คราวนี้ซูบารุขอรุกตลาดเอสยูวีขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกนิด ด้วยการส่ง Forester โฉมไมเนอร์เชนจ์ พร้อมอัดแน่นฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่น่าจะถูกใจคนรักกิจกรรมกลางแจ้ง และผู้ที่ชื่นชอบการเล่นกีฬาเป็นชีวิตจิตใจ

         เป็นโอกาสอันดีที่ Sanook! Auto ได้รับเกียรติเชิญเข้าร่วมทดสอบ 2016 Subaru Forester ใหม่ บนเส้นทางกรุงเทพฯ – กาญจนบุรี เพื่อมาบอกเล่าว่าเอสยูวีคันนี้ มันมีดีกว่าที่ตาเห็นนะ!

         Subaru Forester ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ถูกเปิดตัวในบ้านเราเป็นครั้งแรกที่งานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2016 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งก็เรียกเรียกฮือฮาได้ระดับหนึ่งด้วยราคาเปิดตัวที่จับต้องได้ง่ายขึ้น ถือเป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ที่กำลังเล็งรุ่นเล็กอย่าง XV หากขยับเพิ่มเงินอีกนิดก็จะได้รถที่มีขนาดใหญ่ขึ้น อ็อพชั่นมากขึ้น และสดใหม่กว่ากันพอสมควร

     

         Subaru Forester รุ่นปี 2016 ที่วางจำหน่ายในบ้านเรามีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ได้แก่

    • 2.0i
    • 2.0i-P
    • 2.0XT

         ซึ่งรุ่นที่ซูบารุหวังตัวเลขยอดขายไว้ จะเน้นไปที่ 2.0i และ 2.0i-P มากกว่า เนื่องจากราคาอยู่ในระดับล้านต้นๆ แต่หากเป็นรุ่น 2.0XT ที่ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบ จะมีราคาโดดไปแตะระดับ 2 ล้านบาทนิดๆ เน้นลูกค้าเฉพาะกลุ่มที่ชอบเครื่องยนต์เทอร์โบจริงๆ

     

         Forester ทั้งรุ่น 2.0i และ 2.0iP เป็นตัวนำเข้าจากประเทศมาเลเซีย เช่นเดียวกับรุ่น XV ส่งผลให้สามารถทำราคาได้ต่ำกว่าเดิม เป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ ให้หันมามองซูบารุเป็นตัวเลือกได้มากขึ้น

         รูปลักษณ์ภายนอกของ Forester Minorchange ถูกเผินๆแล้วอาจไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ก็ถือว่าช่วยให้ตัวรถดูสดใหม่ขึ้นพอสมควร

     

         อุปกรณ์มาตรฐานที่เราจะกล่าวถึงต่อไปนี้ เป็นของรุ่น 2.0i-P ที่เราได้ทำการทดสอบครับ

         เริ่มต้นด้วยไฟหน้าที่เปลี่ยนเป็นแบบโปรเจคเตอร์ LED พร้อม Daytime Running Light แบบ LED พร้อมระบบปรับตามทิศทางการเลี้ยว (SRH) ซึ่งจะเอียงไปตามการหมุนของพวงมาลัยเพื่อส่องสว่างในทางโค้ง (ทำงานที่ความเร็ว 10 กม./ชม.ขึ้นไป) เพิ่มที่ฉีดน้ำล้างไฟหน้ามาให้ และที่ปัดน้ำฝนกระจกหน้าแบบอัตโนมัติด้วย

         บริเวณกันชนยังถูกออกแบบใหม่ โดยเพิ่มหลอด LED เข้าไป ซึ่งจะสว่างขึ้นควบคู่ไปกับ Daytime Running Light และขณะเปิดไฟหน้ารถ ดีไซน์กันชนถูกออกแบบให้มีเส้นสายดุดันมากขึ้น ติดตั้งไฟตัดหมอกไว้ด้านล่างล้อมด้วยกรอบโครเมี่ยม

     

         ด้านข้างเพิ่มความหรู ด้วยแถบโครเมี่ยมบริเวณชายประตูด้านล่าง รวมถึงมือจับประตูแบบโครเมี่ยม จากเดิมที่เป็นสีเดียวกับตัวรถ ขณะที่ด้านหลังติดตั้งไฟท้ายแบบ LED ใหม่ ดูทันสมัยมากขึ้น พร้อมประตูท้ายแบบไฟฟ้า สามารถปรับความสูงของการเปิดประตูได้จากสวิตช์ในห้องโดยสาร

         ตัวถังของ Forester นั้น คนทั่วไปอาจมองว่าดูเป็นทรงเหลี่ยมเชยๆ ไม่โฉบเฉี่ยวเหมือนกับคู่แข่งในระดับราคาใกล้กัน แต่หากได้สัมผัสกันจริงๆ จะทราบเลยว่า การออกแบบในลักษณะนี้ จะช่วยในเรื่องทัศนวิสัยการขับขี่ได้เป็นอย่างดี จนผู้เขียนคิดว่านี่คือคอมแพ็คเอสยูวีที่มีทัศนวิสัยดีที่สุดในตลาดด้วยซ้ำไป ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้มีผลต่อการขับขี่ในชีวิตประจำวันอย่างที่คุณผู้อ่านหลายท่านคาดไม่ถึง

         ในรุ่น 2.0i-P (รวมถึงรุ่น 2.0i) มาพร้อมล้ออัลลอยแบบ 6 ก้านสีทูโทนขนาด 17 นิ้ว พร้อมยางขนาด 225/60 R17

     

         ห้องโดยสารภายในตกแต่งด้วยโทนสีดำ เบาะนั่งหุ้มหนังปรับด้วยไฟฟ้าคู่หน้า ฝั่งคนขับสามารถปรับได้ 8 ทิศทาง พร้อมฟังก์ชั่นเมมโมรี่ 2 ตำแหน่ง ขณะที่เบาะด้านหลังสามารถปรับพับแยกแบบ 60:40 ได้ พร้อมหัวหมอนปรับระดับได้ทั้ง 3 ตำแหน่ง ซึ่งฟองน้ำเบาะนั่งของตัวเบาะให้ความนิ่มกำลังดี ไม่แข็งหรือนิ่มยวบเกินไป รวมถึงปีกเบาะซัพพอร์ตช่วงเอวได้พอประมาณ ไม่อึดอัด ถือเป็นเบาะที่กว้าง นั่งสบาย

         ติดตั้งพวงมาลัยหุ้มหนังแบบ 3 ก้าน ปรับระดับได้ 4 ทิศทาง มีร่องกริปที่ออกแบบให้จับได้ถนัดมือ ปุ่มควบคุมฝั่งซ้ายใช้สำหรับควบคุมเครื่องเสียง ระบบโทรศัพท์ และหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID บริเวณมาตรวัดความเร็ว ส่วนปุ่มทางขวามือสำหรับระบบ Cruise Control และระบบ SI Drive

     

         ระบบ SI Drive เป็นระบบปรับโหมดการขับขี่ แบ่งออกเป็น S – Sport และ I – Intelligent ซึ่งหากกดปุ่ม S ลงไปหนึ่งครั้ง ก็จะเป็นการเรียกโหมดสปอร์ต ซึ่งทำหน้าที่ปรับการทำงานของเกียร์ให้ตอบสนองต่อคันเร่งได้ไวขึ้น เพื่อเรียกแรงบิดได้รวดเร็วขึ้นนั่นเอง ขณะที่โหมด I จะเป็นการขับขี่แบบปกติสำหรับการใช้งานทั่วไป ไม่ได้รีบร้อนอะไรมากนัก เน้นเอาประหยัดน้ำมันเป็นหลัก

         ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ถูกติดตั้งไว้ทางด้านขวา ทำงานคู่กับกุญแจรีโมท ซึ่งมีฟีเจอร์เด็ดอยู่ที่ ‘ระบบเข้ารถโดยไม่ใช้กุญแจ’ หรือ ‘PIN Code Access’ โดยระบบที่ว่านี้ไม่ใช่การพกกุญแจไว้ในกระเป๋าเหมือนที่รู้จักกัน แต่เป็นการเก็บกุญแจไว้ในรถแล้วล็อค-ปลดล็อกได้เลยโดยไม่ต้องสัมผัสตัวกุญแจแม้แต่น้อย ใช้เพียงรหัส 5 หลักที่เจ้าของรถตั้งเอาไว้เท่านั้น

         ฟังก์ชั่นนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบกิจกรรมกีฬากลางแจ้ง เช่น ไปวิ่งตามสวนสาธารณะหรือปั่นจักรยาน แต่ไม่ต้องการพกกุญแจไว้กับตัว เพราะกลัวจะหายหรือเกรงว่าจะชุ่มไปด้วยเหงื่อ ก็สามารถเก็บกุญแจไว้ในรถได้ แล้วใช้รหัส 5 หลักในการปลดล็อครถแทน

     

         เหนือคอนโซลกลางติดตั้งหน้าจอแสดงการทำงานของรถ ทั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่างๆ สั่งงานผ่านปุ่มบริเวณใกล้กับสวิตซ์ไฟฉุกเฉิน มีตัวเลขบอกอุณหภูมิภายนอกได้

         ใกล้กันเป็นหน้าจอแสดงระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ ที่เป็นแบบ Dual-zone แยกปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวาได้ สั่งงานผ่านปุ่ม 3 ปุ่มขนาดใหญ่ใต้หน้าจอเครื่องเสียง ใช้งานง่าย

     

         เครื่องเสียงของ Forester เป็นแบบหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth สามารถเล่นแผ่น CD ได้ มีพอร์ต USB มาให้ รองรับการสั่งงานด้วยเสียงของตัวรถเองและระบบ Siri Eyes Free เมื่อเชื่อมต่อเข้ากับโทรศัพท์ระบบ iOS รวมถึงใช้แสดงภาพจากกล้องมองหลังเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลังด้วย

         นอกเหนือจากพอร์ตยูเอสบีที่ใครหลายคนมักเอาไว้ใช้ชาร์จแบตเตอรี่มือถือนั้น ยังมีช่องจ่ายไฟ 12 โวลต์มาให้ถึง 3 ตำแหน่ง บริเวณคอนโซลกลาง, ช่องเก็บของ และห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายอีกด้วย

         ขุมพลังของรุ่น 2.0i และ 2.0i-P ติดตั้งเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 4 สูบวางนอน ความจุ 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 6,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 198 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 รอบต่อนาที ซึ่งจุดเด่นของเครื่องยนต์แบบ Boxer นี้ คือการออกแบบตัวเครื่องที่ทำให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ซึ่งเป็นจุดเด่นของค่ายซูบารุที่ได้โดดเด่นในเรื่องการเข้าโค้ง รวมถึงลดแรงสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์จากการที่ลูกสูบเคลื่อนที่แบบสวนทางกัน

         ระบบส่งกำลังเป็นแบบ Lineartronic CVT ที่ใช้ชุดโซ่ในการขับเคลื่อน ซึ่งให้ความทนทานและแข็งแรงกว่าสายพานทั่วไป

     

         ระบบเบรกเป็นแบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ ด้านหน้ามีร่องระบายความร้อน ช่วงล่างด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังแบบดับเบิ้ลวิชโบน

         จุดเด่นอีกอย่างของซูบารุ ฟอเรสเตอร์คันนี้ ก็คือระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Symmetrical All Wheel Drive ซึ่งจัดวางชุดขับเคลื่อนให้มีลักษณะสมมาตรทั้งซ้ายและขวา ที่จะช่วยกระจายแรงบิดไปยังทุกล้อเท่ากันได้อย่างสมบูรณ์ สามารถกระจายแรงบิดไปยังล้อใดล้อหนึ่งที่มีปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้ผ่านอุปสรรคขณะขับขี่ทั้งออนโรดและออฟโรดได้ดียิ่งขึ้น

         ด้านระบบความปลอดภัยใน Forester ใหม่ ติดตั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า ม่านถุงลมนิรภัย และถุงลมป้องกันอาการบาดเจ็บบนริเวณหัวเข่า, ระบบเบรก ABS/EBD, ระบบเพิ่มแรงดันเบรก BA, ระบบควบคุมการทรงตัว VDC ฯลฯ ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐานของรถที่มีระดับราคา 1 ล้านบาทขึ้นไป ที่วางจำหน่ายในปี 2016

     

         เริ่มต้นออกเดินทางกันเลยดีกว่าครับ

         เราออกเดินทางจากโชว์รูมซูบารุบนถนนเสรีไทย ซึ่งเป็นช่วงที่การจราจรหนาแน่นพอสมควร ซึ่ง Forester ก็ยังให้ความคล่องตัว สามารถมุดไปตามจังหวะได้อย่างคล่องแคล่ว ซึ่งการตอบสนองของเครื่องยนต์และเกียร์สำหรับการขับขี่ในเมืองนับว่าใช้ได้เลยทีเดียว

         เมื่อพ้นเขตเมืองที่พอจะทำความเร็วได้นั้น การตอบสนองของเครื่องยนต์และเกียร์ยังคงทำงานได้ดี แต่ทว่ากำลังเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้านั้น อาจจะดูเอื่อยเฉื่อยไปนิด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องสูญเสียกำลังไปกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำให้อัตราเร่งไม่ถึงกับทันใจ มีให้แค่เพียงพอกับการใช้งานในชีวิตประจำทั่วไป หากใครรีบร้อนอาจต้องขยับไปเล่นตัวเทอร์โบที่มีราคาต่างกันอยู่พอสมควร

     

         สิ่งที่ปรับปรุงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ก็คือ การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารที่เงียบขึ้นอย่างชัดเจน จะมีเสียงก็จากพื้นถนนให้ได้ยินบ้างตามความเร็วที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการบุวัสดุดูดซับเสียงที่มากขึ้นกว่ารุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ ประกอบกับการออกแบบกระจกรอบคันใหม่ทั้งหมดให้มีความหนามากขึ้น ทำให้เสียงลมเข้ามาภายในห้องโดยสารได้น้อยลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

         อีกจุดหนึ่งที่ได้รับการปรับปรุง คือ การซับแรงสะเทือนที่ดียิ่งขึ้น ช่วงล่างให้ความนุ่มนวลขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ช่วยให้โดยสารได้สบายมากขึ้น แต่ทั้งนี้ ช่วงล่างของ Forester ใหม่ ก็ยังคงไว้ซึ่งความหนักแน่น หนึบหนับ มั่นใจขณะเข้าโค้ง ยังคงเอกลักษณ์ของ Forester ที่ให้ความรู้สึกขณะเข้าโค้งใกล้เคียงกับรถเก๋งช่วงล่างเยี่ยมๆคันหนึ่งเลยทีเดียว จนผู้เขียนแทบจะลืมความเป็นเอสยูวีของรถคันนี้ไปเสียสนิท

     

         นอกจากนั้น เรายังไดมีโอกาสทดสอบการขับขี่แบบออฟโรด ซึ่งเป็นทางลูกรังที่เต็มไปด้วยฝุ่น เราจึงไม่พลาดทดสอบระบบ X-Mode ที่จะช่วยเสริมระบบเบรกอัตโนมัติขณะลงทางชัน ช่วยให้ขับง่ายขึ้น และปรับการทำงานของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อให้ตอบสนองต่อสภาพถนนได้ดีขึ้น ซึ่งแม้ว่าเส้นทางออฟโรดคราวนี้จะไม่ได้โหดอะไรมากมายนัก แต่ก็ช่วยให้เห็นถึงประสิทธิภาพการทำงานของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบสมมาตรของซูบารุได้เป็นอย่างดี สามารถผ่านอุปสรรคไม่ว่าจะเป็นหลุม เนินชัน ฯลฯ ได้อย่างสบาย

     

         สรุป 2016 Subaru Forester ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ดูภายนอกอาจไม่ต่างจากเดิมมากนัก แต่เวอร์ชั่นนำเข้าจากมาเลเซียนี้ก็มีการติดตั้งฟังก์ชั่นที่เพิ่มมากขึ้น น่าใช้งานขึ้นกว่าเดิมเยอะ  จุดด้อยต่างๆที่มีในรุ่นเดิม ทั้งความแข็งของช่วงล่างและการเก็บเสียง ก็ถูกปรับปรุงใหม่จนหมดสิ้น ประกอบกับความดีงามของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบสมมาตรของซูบารุ ถือว่านี้คือเอสยูวีที่พัฒนามาสำหรับขาลุยตัวจริง!

     

    ราคาจำหน่าย Subaru Forester รุ่นปี 2016 ใหม่ มีดังนี้

    • Subaru Forester 2.0i ราคา 1,198,000 บาท*
    • Subaru Forester 2.0i-P ราคา 1,398,000 บาท*
    • Subaru Forester 2.0XT ราคา 2,290,000 บาท

    *ราคาโปรโมชั่นแบบมีระยะเวลาจำกัด

     

    ขอขอบคุณผู้บริหารและทีมงานบริษัท ทีซี ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้เกียรติเชิญเข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้

     

     

    อัลบั้มภาพ 38 ภาพ

    อัลบั้มภาพ 38 ภาพ ของ รีวิว Subaru Forester ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ นี่สิเอสยูวีตัวจริง!