ผู้ป่วย “เบาหวาน” เสี่ยง “เครียด-ซึมเศร้า” ครอบครัวควรช่วยเหลือ
โรคเบาหวาน เมื่อป่วยแล้วต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยจึงมีความเสี่ยงเกิดผลกระทบทางใจได้สูงกว่าคนทั่วไป ที่เป็นห่วงก็คือปัญหาความเครียดและซึมเศร้าจะมีผลต่อประสิทธิภาพการรักษาด้วย โดยมีผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยเบาหวานมีโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้าสูงกว่าคนปกติทั่วไปประมาณ 2 เท่าตัว
นพ.พงศ์เกษม ไข่มุกด์ รักษาการผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขประจำเขตสุขภาพที่ 9 หรือเขตนครชัยบุรินทร์ เปิดเผยว่า รายงานล่าสุดในปี 2560 ทั่วโลกมีผู้ป่วยเบาหวานกว่า 425 ล้านคน โดย 2 ใน 3 อยู่ในวัยแรงงาน สำหรับในส่วนของพื้นที่เขตสุขภาพที่ 9 ซึ่งครอบคลุม 4 จังหวัดอีสานตอนล่าง ได้แก่ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ ในปี 2562 มีรายงานผู้ป่วยเบาหวานขึ้นทะเบียนรักษา 312,797 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและวัยแรงงาน พบผู้ป่วยรายใหม่เฉลี่ยเดือนละ 3,100 คน
โรคเบาหวาน รักษายาวนาน เสี่ยงซึมเศร้า
โรคเบาหวานเมื่อป่วยแล้วต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยจึงมีความเสี่ยงเกิดผลกระทบทางใจได้สูงกว่าคนทั่วไป ที่เป็นห่วงก็คือปัญหาความเครียดและซึมเศร้าจะมีผลต่อประสิทธิภาพการรักษาด้วย โดยมีผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยเบาหวานมีโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้าสูงกว่าคนปกติทั่วไปประมาณ 2 เท่าตัว เมื่อมีปัญหาซึมเศร้าจะทำให้การดูแลตัวเองแย่ลง ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้
เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดไม่ปกติ จึงเสี่ยงเกิดปัญหาแทรกซ้อนตามมาได้ง่ายอีกด้วย เช่น โรคหัวใจ ไตเสื่อม โรคสมองเสื่อม เป็นต้น
นอกจากนี้ ปัญหาโรคเบาหวานขณะนี้ยังพบในผู้ป่วยจิตเวชมากขึ้นด้วย สาเหตุทั้งจากพฤติกรรมของผู้ป่วยเอง เช่น ขาดการออกกำลังกาย และจากผลข้างเคียงของยาบางชนิดที่อาจทำให้เพิ่มความอยากอาหาร ซึ่งหากไม่ดูแล หรือควบคุมอาหารให้ดี ก็จะทำให้อาการของโรคเบาหวานไม่ดีขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น
วิธีดูแลสุขภาพจิตของผู้ป่วยโรคเบาหวาน
นพ.กิตต์กวี โพธิ์โน ผู้อำนวยการ รพ.จิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ จ.นครราชสีมา กล่าวว่า ในการป้องกันปัญหาสุขภาพจิตในผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยเฉพาะรายใหม่ มีข้อแนะนำให้ผู้ป่วยปฏิบัติ 4 ประการ ดังนี้
- ทำความเข้าใจกับโรคให้ดีที่สุด โดยสอบถามอาการและการรักษาจากแพทย์หรือพยาบาลให้เข้าใจ จะทำให้เกิดความมั่นใจ คลายความกลัว ความกังวล และปฏิบัติตามคำแนะนำ
- เข้าร่วมกิจกรรมที่ รพ.จัดขึ้นร่วมกับเพื่อนผู้ป่วยโรคเบาหวาน ซึ่งจะได้รับความรู้และวิธีการปฏิบัติตัวที่สำคัญ เช่น การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย การดูแลจิตใจให้แจ่มใส และได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ดีๆ กับผู้ป่วยด้วยกันด้วย
- หากรู้สึกว่าอารมณ์ตึงเครียด ให้สลายความเครียดด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ฝึกการหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้อง นั่งสมาธิ ฝึกการผ่อนคลาย เป็นต้น สามารถขอคำแนะนำได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน
- หมั่นดูอารมณ์ หากรู้สึกว่าอารมณ์ตัวเองเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น หงุดหงิดง่าย เบื่อหน่ายชีวิต จิตใจหดหู่ นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร ไม่มีสมาธิทำงานหรือทำกิจวัตรประจำวัน โดยมีอาการติดต่อกันนานเกิน 2 สัปดาห์ ขอให้รีบปรึกษา อสม. หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่อยู่ใกล้บ้าน หรือโทร. ปรึกษาที่สายด่วนสุขภาพจิตหมายเลข 1323 ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ได้รับการดูแลที่เหมาะสมอย่างทันท่วงที
นอกจากนี้ ผู้ป่วยเบาหวานควรเฝ้าระวังเรื่องน้ำหนักตัวอย่างต่อเนื่อง เช่น เลือกรับประทานอาหารเมนูคลีน ซึ่งไม่ใช้เครื่องปรุงรส หรือใช้ความหวานอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน และได้นำสมุนไพรหญ้าหวานมาใช้ในเมนูอาหารและเครื่องดื่ม
สำหรับครอบครัวที่มีผู้ป่วยโรคเบาหวาน ควรดูแลให้กำลังใจเพื่อไม่ให้ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยว อยู่คนเดียว พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือพาไปพบแพทย์ตามนัด หรือพาไปเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม งานบุญต่างๆ ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นผู้สูงอายุ ควรยกย่องคุณค่าอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ หากผู้ป่วยมีกำลังใจดีก็จะทำให้การดูแลตัวเองดีตามไปด้วย