กรดไหลย้อน ภัยจากความเครียด อันตรายถ้าไม่รักษา

กรดไหลย้อน ภัยจากความเครียด อันตรายถ้าไม่รักษา

กรดไหลย้อน ภัยจากความเครียด อันตรายถ้าไม่รักษา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

โรคกรดไหลย้อน พบได้ทุกเพศ ทุกวัย มักมีอาการแสบร้อนกลางหน้าอกหรือมีการเรอเปรี้ยว หรือมีอาการเจ็บหน้าอกร่วมด้วย โรคนี้อาจรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน หรือทำให้เสียบุคลิกภาพ แต่หากไม่ทำการรักษาปล่อยไว้เรื้อรังอาจส่งผลรุนแรงถึงขั้นเป็นมะเร็งหลอดอาหารและเสียชีวิตได้ หากมีอาการกรดไหลย้อน ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาที่ไม่ถูกวิธีได้

นพ. อนุพงศ์ ตั้งอรุณสันติ แพทย์ชำนาญการด้านโรคระบบทางเดินอาหาร รพ. สมิติเวช สุขุมวิท ระบุว่า "โรคกรดไหลย้อน" คือภาวะที่กรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปอยู่ในหลอดอาหาร  ส่งผลให้เกิดอาการแสบร้อนกลางหน้าอกหรือมีการเรอเปรี้ยว ตลอดจนอาการไอหรืออาการเจ็บหน้าอกในบางราย  ซึ่งพบได้ทุกเพศทุกวัย รวมถึงสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

กรณีอาการไม่รุนแรงหรือไม่กำเริบบ่อย โรคกรดไหลย้อน อาจเพียงสร้างความรำคาญและรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน แต่หากถูกละเลยจนกลายเป็นผู้ป่วยเรื้อรัง อาจส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้  โดยเฉพาะภาวะอักเสบเรื้อรังของหลอดอาหารจนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุหลอดอาหารส่วนปลาย (Barrett’s esophagus) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลอดอาหารในที่สุด

สาเหตุของกรดไหลย้อน

  1. ความผิดปกติของหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง มักเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ ซึ่งหูรูดของหลอดอาหารเริ่มเสื่อมสภาพ น้ำย่อยและอาหารในกระเพาะจึงไหลย้อนกลับขึ้นมาในหลอดอาหารทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอก ซึ่งมักถูกกระตุ้นได้ง่ายจากการรับประทานยาบางชนิด ดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่

  2. ความผิดปกติในการบีบตัวของหลอดอาหาร ส่งผลให้หลอดอาหารบีบตัวไล่น้ำย่อยที่ย้อนขึ้นมาได้น้อยลง ทำให้น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารค้างอยู่ในหลอดอาหารนานขึ้น

  3. กระเพาะอาหารบีบตัวน้อยลง จนไม่สามารถนำอาหารที่ย่อยแล้วลงสู่ลำไส้ได้หมด อาหารจึงค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเป็นเวลานาน เกิดแรงดันในกระเพาะอาหารจนไปดันให้หูรูดเปิดออก อาหารและน้ำย่อยจึงย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหาร

  4. ปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ
    - บุหรี่ การสูบบุหรี่ส่งผลให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดออกมามากขึ้น รวมถึงกระเพาะอาหารบีบตัวน้อยลง จึงทำให้น้ำย่อยและอาหารไหลย้อนกลับขึ้นมาในหลอดอาหาร
    - ความเครียดยังส่งผลให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดออกมามากเกินไป จนเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคกรดไหลย้อน
    - การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มบางชนิด ส่งผลให้หูรูดหลอดอาหารคลายตัว โดยเฉพาะอาหารไขมันสูง คาเฟอีน แอลกอฮอล์ และเปปเปอร์มินต์
    - การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีความเป็นกรดสูง เช่น ส้ม  มะนาว  รวมถึงอาหารรสจัด  ทำให้หูรูดเกิดการระคายเคืองได้
    - การรับประทานยาบางชนิด อาจไปกระตุ้นให้เกิดภาวะกรดไหลย้อน โดยผลข้างเคียงของยาจะส่งผลแตกต่างกันในแต่ละบุคคล หากสงสัยควรปรึกษาแพทย์  ไม่ควรหยุดยาหรือซื้อยามารับประทานเอง
    - ความอ้วน เนื่องจากคนอ้วนมีความดันในช่องท้องมากกว่าคนทั่วไป  ทำให้เกิดความดันในกระเพาะอาหารสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงโรคกรดไหลย้อนเพิ่มขึ้น
    - การตั้งครรภ์ เมื่อครรภ์ใหญ่ขึ้นความดันในกระเพาะก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย คุณแม่ตั้งครรภ์จึงมีเสี่ยงต่อการเป็นกรดไหลย้อนมากขึ้น

วิธีตรวจกรดไหลย้อนด้วยตัวเอง

การเช็กอาการของกรดไหลย้อนด้วยตัวเองสามารถทำได้ ดังนี้

  1. สังเกตอาการแสบร้อนบริเวณหน้าอกและลิ้นปี่ บางครั้งอาจปวดร้าวไปยังลำคอ เหมือนมีก้อนจุกอยู่ กลืนลําบาก แสบคอ คลื่นไส้ เรอบ่อย  และมีน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาจนรู้สึกขมที่คอ

  2. จุกเสียด แน่นท้อง เหมือนอาหารไม่ย่อย อาจมีกลิ่นปาก หรือเสียวฟันร่วมด้วย

  3. หลังรับประทานอาหารมักเกิดอาการท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน หรือไอแห้ง ๆ บ่อย ๆ

  4. เสียงแหบในช่วงเช้า หรือแหบเรื้อรัง ซึ่งอาจเกิดจากกรดที่ไหลย้อนขึ้นมาทำให้กล่องเสียงอักเสบ

  5. สำลักน้ำลาย หรือหายใจไม่ออกขณะนอนหลับ


วิธีรักษากรดไหลย้อน

  • รับประทานยาลดกรด ช่วยลดการหลั่งกรดในกระเพาะ ซึ่งควรรับประทานตามแพทย์สั่ง โดยไม่ซื้อยามารับประทานเองเด็ดขาด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาที่ไม่ถูกวิธี

  • ผ่าตัด สำหรับผู้ป่วยเรื้อรังและผู้ที่ไม่สามารถรักษาด้วยการรับประทานยา หรือได้รับผลข้างเคียงจากยา


วิธีป้องกันกรดไหลย้อน

  1. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดมากเกินไป เช่น อาหารไขมันสูง และอาหารรสจัด งดเครื่องดื่มคาเฟอีนและ แอลกอฮอล์ รวมถึงเลิกสูบบุหรี่

  2. ลดความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ  และออกกำลังกายสม่ำเสมอ

  3. ควบคุมน้ำหนัก โดยการควบคุมอาหารและหมั่นออกกำลังกาย

  4. ไม่นอนราบ ออกกำลังกาย หรือทำงานที่ต้องก้ม ๆ เงย ๆ ทันทีหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ โดยควรรอให้อาหารย่อยประมาณ 2-3 ชั่วโมง

  5. ไม่ควรนอนหลังรับประทานอาหารทันที ควรรออย่างน้อย 3 ชั่วโมง


โรคกรดไหลย้อนระหว่างตั้งครรภ์

คุณแม่ตั้งครรภ์มักประสบกับภาวะกรดไหลย้อน โดยเฉพาะเมื่อครรภ์เข้าสู่ไตรมาสท้ายๆ เนื่องจากขนาดของมดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นไปเบียดกระเพาะอาหาร จนกรด และอาหารในกระเพาะไหลย้อนกลับขึ้นมายังหลอดอาหาร รวมถึงผลกระทบจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงขณะตั้งครรภ์ ส่งให้ระบบย่อยอาหารทำงานลดลง

อย่างไรก็ตาม หากคุณแม่ตั้งครรภ์เกิดอาการกรดไหลย้อนไม่ควรซื้อยาลดกรดมารับประทานเองเด็ดขาด เนื่องจากยาบางชนิดอาจมีผลกระทบต่อทารกในครรภ์หรือตัวคุณแม่เอง  โดยควรปรึกษาแพทย์เพื่อดูอาการและทำการรักษา

โรคกรดไหลย้อนอาจรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน หรือทำให้เสียบุคลิกภาพ แต่หากไม่ทำการรักษาปล่อยไว้เรื้อรังอาจส่งผลรุนแรงถึงขั้นเป็นมะเร็งหลอดอาหารและเสียชีวิตได้  ดังนั้นควรดูแลสุขภาพอนามัยอยู่เสมอ พยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นต่างๆ ที่ให้เกิดโรคกรดไหลย้อน รวมถึงปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อห่างไกลจากกรดไหลย้อนอย่างจริงจังและยั่งยืน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook