
องุ่นไชน์มัสแคท (Shine Muscat) กลายเป็นผลไม้ยอดนิยมในไทย ด้วยรสชาติที่หวาน หอม กลิ่นมัสแคทอันเป็นเอกลักษณ์ เนื้อกรอบ และส่วนใหญ่ไร้เมล็ด แต่หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมองุ่นชนิดนี้จึงมีราคาแตกต่างกันมาก ตั้งแต่หลักร้อยบาทในตลาดนัด ไปจนถึงหลักพันบาทในห้างสรรพสินค้า ทั้งที่หน้าตาภายนอกดูคล้ายคลึงกัน
คำตอบหลักของเรื่องนี้อยู่ที่ "แหล่งกำเนิด" และ "มาตรฐานการเพาะปลูก" ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพและรสชาติขององุ่น
องุ่นไชน์มัสแคท แท้จริงแล้วเป็นสายพันธุ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นในประเทศญี่ปุ่น โดยมีจุดเด่นคือกลิ่นหอม รสหวาน และผิวที่สามารถรับประทานได้ทั้งเปลือก อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าญี่ปุ่นอาจไม่ได้จดทะเบียนสายพันธุ์นี้นอกประเทศภายในกรอบเวลาที่กำหนด ทำให้ประเทศอื่นๆ เช่น เกาหลีใต้ และ จีน นำสายพันธุ์นี้ไปเพาะปลูกและส่งออกได้
ปัจจุบัน องุ่นไชน์มัสแคทที่เราพบในท้องตลาดจึงมีที่มาจากหลายแหล่ง โดยหลักๆ คือ ญี่ปุ่น (ต้นตำรับ), เกาหลีใต้ (ซึ่งมีมาตรฐานการปลูกสูง) และ จีน (ซึ่งมีการผลิตจำนวนมหาศาล)
แม้จะเป็นสายพันธุ์เดียวกัน แต่ราคาที่ต่างกันหลายเท่าสะท้อนถึงคุณภาพที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้:

คำตอบคือ "ปลูกได้" และกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศไทยมีการทดลองและส่งเสริมการปลูกองุ่นไชน์มัสแคทในหลายพื้นที่ เช่น ภาคเหนือ (จ.แพร่) และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (จ.สกลนคร, อุบลราชธานี) รวมถึง จ.ราชบุรี
เกษตรกรไทยสามารถปลูกได้ทั้งในรูปแบบ "มีเมล็ด" หรือทำ "ไร้เมล็ด" ตามแบบญี่ปุ่น และมีรายงานว่าองุ่นไชน์มัสแคทที่ปลูกในไทยก็มีรสชาติที่ดี ไม่แพ้สายพันธุ์จากต่างประเทศ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้บริโภค
หากต้องการได้องุ่นไชน์มัสแคทคุณภาพดี ควรสังเกตดังนี้:
ราคาของ องุ่นไชน์มัสแคท ที่แตกต่างกันอย่างมากในท้องตลาด สะท้อนถึงคุณภาพ รสชาติ และมาตรฐานการเพาะปลูกเป็นหลัก โดยองุ่นราคาสูงมักมาจากญี่ปุ่นหรือเกาหลี ซึ่งรับประกันความหอมหวานและเนื้อสัมผัสที่ดีกว่า ส่วนองุ่นราคาถูกมักมาจากจีนซึ่งมีผลผลิตล้นตลาดและคุณภาพไม่สม่ำเสมอ นอกจากนี้ ปัจจุบันยังมีองุ่นไชน์มัสแคทที่ปลูกในประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มีคุณภาพดีให้ผู้บริโภคได้ลิ้มลอง