7 สัญญาณเตือนทางร่างกายที่บอกว่าคุณอยู่ในภาวะเครียดเรื้อรัง

7 สัญญาณเตือนทางร่างกายที่บอกว่าคุณอยู่ในภาวะเครียดเรื้อรัง

7 สัญญาณเตือนทางร่างกายที่บอกว่าคุณอยู่ในภาวะเครียดเรื้อรัง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ความเครียดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตปกติ แต่ความเครียดเรื้อรังอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของคุณ สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักถึงสัญญาณของความเครียดเพื่อให้คุณสามารถจัดการกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนี่คือ 7 สัญญาณทางร่างกายที่บอกว่าคุณอยู่ในภาวะเครียดเรื้อรัง

7 สัญญาณทางร่างกายที่บอกว่าคุณอยู่ในภาวะเครียดเรื้อรัง

1.ปวดหัวจี๊ดทั้งวัน ภัยเงียบจากความเครียด

เคยไหม รู้สึกเหมือนมีอะไรจี๊ดๆ ตุบๆ อยู่ในหัวทั้งวัน อาการปวดหัวแบบนี้อาจเกิดจากความเครียดหรือไมเกรนก็ได้ "ความเครียดสามารถทำให้เกิดอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย ทั้งปวดหัว ปวดหลัง" Dr. Gail Saltz แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวช จากโรงพยาบาล New York-Presbyterian กล่าว

เมื่อคุณเครียด กล้ามเนื้อบริเวณคอและหนังศีรษะมักจะเกร็งตัว ทำให้เกิดอาการปวดหัวได้ นี่เป็นเหตุผลที่ความเครียดเป็นตัวกระตุ้นสำคัญของทั้งปวดหัวแบบตึงเครียดและไมเกรน

เคล็ดลับง่ายๆ ช่วยบรรเทาปวดหัวจากความเครียด:

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำไม่เพียงแค่สำคัญ แต่ยิ่งสำคัญเป็นพิเศษในช่วงที่คุณเครียด การขาดน้ำอาจกระตุ้นให้ปวดหัวได้อีกด้วย ฉะนั้นเติมน้ำให้ร่างกายบ่อยๆ อย่าปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำเด็ดขาด

2.ลำไส้ร้องเตือน สัญญาณความเครียดที่ไม่ควรมองข้าม

บางครั้ง สัญญาณความเครียดปรากฏชัดที่สุดที่ "ระบบย่อยอาหาร" ของเรานี่เอง Dr. Saltz อธิบายว่า "ในช่วงที่เครียด ร่างกายจะกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก ทำให้เลือดถูกส่งไปยังกล้ามเนื้อและหัวใจมากขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์สู้หรือหนี (ภาวะตอบสนองต่อความเครียดของมนุษย์)" ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง

เมื่อเลือดไปเลี้ยงลำไส้น้อยลง อาจก่อให้เกิดปัญหาทางเดินอาหารต่างๆ เช่น

  • กรดในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น นำไปสู่ภาวะกรดไหลย้อน
  • คลื่นไส้
  • ท้องอืด

ดังนั้น หากคุณมีอาการเหล่านี้บ่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงที่รู้สึกเครียด นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนจากร่างกายที่ไม่ควรมองข้าม

วิธีดูแลระบบย่อยอาหารในยามเครียด:

  • เลือกรับประทานอาหารย่อยง่าย: เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี เนื้อปลา
  • หลีกเลี่ยงอาหารมัน เค็ม เผ็ด: อาหารเหล่านี้กระตุ้นกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้อาการแย่ลง
  • ดื่มน้ำเปล่าบ่อยๆ: น้ำช่วยเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร
  • ฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย: โยคะ สูดหายใจลึกๆ ช่วยลดความเครียดได้

หากอาการไม่ดีขึ้นหรือรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกวิธี

3.นอนไม่หลับเพราะเครียด

เชื่อหรือไม่ จากผลสำรวจของสมาคมจิตวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา พบว่าชาวอเมริกันผู้ใหญ่มากถึง 43% ประสบปัญหานอนไม่หลับเนื่องจากความเครียด ความเครียดเรื้อรัง ส่งผลกระทบต่อคุณภาพและตารางการนอน ทำให้เกิดวังวนแห่งความเครียด-การนอนที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ตามสถาบันความเครียดแห่งสหรัฐฯ กล่าวว่า "การนอนไม่เพียงพอนำไปสู่ปัญหาสุขภาพกายและจิตใจ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเครียดในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้เวลานอนแย่ลงอีกครั้ง" วนไปเวียนมาจนเรารู้สึกเหนื่อยล้าตลอดเวลา

แต่ทำไมเราถึงติดอยู่ในวังวนนี้? เหตุผลหลักคือ ฮอร์โมนที่กระตุ้นความเครียดนั้นแท้จริงแล้วคือฮอร์โมนกระตุ้นการตื่นตัว พวกมันถูกออกแบบมาทางชีววิทยาเพื่อให้เราตื่นอยู่และกระตุ้นระบบประสาทให้ทำงานในโหมดต่อสู้หรือหนี หากระบบประสาทไม่สามารถสงบลง ร่างกายและจิตใจไม่สามารถกลับสู่สภาวะพักผ่อน เราก็จะประสบปัญหาในการนอนหลับและนอนต่ออย่างยาวนาน นอกจากนี้ ความเครียดในเวลากลางวันยังอาจกระตุ้นให้ฝันร้ายได้อีกด้วย

วิธีออกจากวังวนนี้:

  • สร้างนิสัยการนอนที่ดี: โดยเฉพาะก่อนเข้านอน
  • ลดความเครียดในเวลากลางวัน: ออกกำลังกาย ฝึกสมาธิ หาเวลาผ่อนคลาย
  • สร้างสภาพแวดล้อมห้องนอนให้น่าหลับ: มืด สงบ เย็น
  • หลีกเลี่ยงการมองจอแกดเจ็ตก่อนนอน: แสงสีฟ้ารบกวนการนอนหลับ
  • หากนอนไม่หลับเกิน 20 นาที ลุกขึ้นทำกิจกรรมเบาๆ: แล้วค่อยกลับเข้านอนใหม่
  • ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: หากมีปัญหาการนอนรุนแรงหรือเรื้อรัง

นอนหลับให้เต็มอิ่ม ช่วยให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรง

4.เหงื่อไหล เครียดจัด ปัญหาตัวเหนียว

เหงื่อออกเป็นเรื่องปกติและดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะช่วงที่ร่างกายต้องออกแรง แต่ถ้าเหงื่อท่วมจนอยู่ไม่ไหว นั่นอาจเป็นสัญญาณความเครียดเรื้อรืออย่างชัดเจน Dr. Ahron Friedberg นักจิตวิทยา เจ้าของหนังสือ "Towards Happiness: A Psychoanalytic Approach to Finding Your Way" อธิบายว่า "เมื่อเจอสถานการณ์ตึงเครียด แก่นกลางสมองส่วนอะดรีนัล จะหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีน เตรียมร่างกายสู้หรือหนี ทำให้หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออก ความดันโลหิตและอัตราการหายใจเพิ่มขึ้น"

ในช่วงที่ร่างกายตอบสนองต่อความกังวลหรือเครียด ร่างกายจะขับเหงื่อจากต่อมอะโพไครน์ บริเวณรักแร้ ขาหนีบ และหนังศีรษะ (ต่างจากต่อมอ eccrine ที่ขับเหงื่อเพื่อปรับอุณหภูมิ) เหงื่อจากความเครียดนี้ประกอบด้วยกรดไขมันและโปรตีน ถึงแม้จะไม่มีกลิ่นแรง บ่อยๆ แต่ก็รู้สึกเหนอะหนะไม่สบายแน่นอน ทางออกที่ดีที่สุดคือ จัดการกับต้นตอของปัญหา ลดระดับความเครียดลง ไม่ว่าจะเป็นการฝึกสมาธิ สวดมนต์ ออกกำลังกาย เข้าบำบัด หาเวลาพักผ่อน ลดภาระงาน หรือลาพักร้อนสักระยะ

จำไว้ว่า เหงื่ออาจเป็นสัญญาณเตือนให้เราหันมามองความเครียดและดูแลสุขภาพจิตใจอย่างจริงจัง ‍

5.ผมร่วงหนัก สัญญาณความเครียดที่ไม่ควรมองข้าม

เจอผมร่วงเยอะผิดปกติ ร่วงติดแปรง ติดฝักบัวบ่อยๆ อาจเป็นสัญญาณความเครียดเรื้อรือที่ไม่ควรมองข้าม Dr. Donielle Wilson ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการความเครียด อธิบายว่า "ฮอร์โมนคอร์ติซอลที่สูงขึ้นจากความเครียด สามารถไปยับยั้งฮอร์โมนอื่นๆ ในร่างกาย เช่น ฮอร์โมนไทรอยด์และฮอร์โมนเพศ ส่งผลต่อสัญญาณการเติบโตของเส้นผม"

ปกติคนเราอาจร่วงผม 50-100 เส้นต่อวัน แต่ถ้ามากกว่านั้น อาจเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน "ถ้าสังเกตว่าผมร่วงจากหนังศีรษะมากกว่าปกติ นั่นอาจบ่งบอกว่าคุณเครียดเกินไปแล้ว" นอกจากนี้อาการเครียดเรื้อรังยังอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะ "ชอบดึงผม" (trichotillomania) ทำให้มีพฤติกรรมดึงผมตัวเองโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นผมบนหัว คิ้ว หรือส่วนอื่นๆ ของร่างกาย

อย่างไรก็ตาม อาการผมร่วงอาจเกิดจากโรคหรือปัญหาสุขภาพอื่นๆ ดังนั้น หากเทคนิคการจัดการความเครียดไม่ช่วยลดอาการผมร่วง ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุและรักษาอย่างถูกวิธี อย่าเพิกเฉยกับสัญญาณร่างกาย ดูแลสุขภาพกาย ควบคู่กับสุขภาพจิตใจ ร่างกายแข็งแรง ผมแข็งแรงตาม

6.เจ็บหน้าอก อย่าเพิ่งตกใจ อาจเป็นสัญญาณความเครียด

อาการเจ็บหน้าอกเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม ควรตรวจเช็กกับแพทย์เพื่อความปลอดภัย แต่บางครั้งอาการนี้อาจไม่ได้เกิดจากปัญหาหัวใจโดยตรง "อาการเจ็บหน้าอกจากความเครียดเป็นอาการที่หลายคนอาจไม่ทราบ" ความเครียดและอาการเจ็บหน้าอกอาจกลายเป็นวังวนได้ ขณะที่ความเครียดทำให้เจ็บหน้าอก ความกลัวจากอาการเจ็บหน้าอกก็ยิ่งส่งผลให้เครียดมากขึ้น ส่งผลให้อาการแย่ลง ดังนั้นการจัดการความเครียดจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้ติดอยู่ในวังวนนี้

7.รู้สึกหมดไฟ ไร้พลัง สัญญาณความเครียดที่ไม่ควรมองข้าม

เคยไหม? รู้สึกเหนื่อยล้า หมดเรี่ยวแรง ไร้ความสุข ไม่อยากทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมที่เคยชอบ ออกกำลังกาย สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ใช้เวลากับเพื่อน หรือแค่ออกไปเดินเล่น นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนจากร่างกายและจิตใจ ว่าคุณกำลังเครียดหนัก หรืออาจเข้าข่ายภาวะซึมเศร้าควบคู่ไปด้วย

Dr. Saltz แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวช อธิบายว่า "ระดับฮอร์โมน noradrenaline และ cortisol ที่สูงอย่างเรื้อรังส่งผลกระทบต่อสมองและร่างกาย เมื่อสมองถูกปกคลุมด้วย cortisol อย่างต่อเนื่อง จะทำให้เซลล์สมองตายลง นำไปสู่ภาวะซึมเศร้าเรื้อรังหรือภาวะหมดไฟได้"

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook