ปลุกลูกไปโรงเรียนให้ทัน เรื่อง ”ต้อง” ลงทุน

ปลุกลูกไปโรงเรียนให้ทัน เรื่อง ”ต้อง” ลงทุน

ปลุกลูกไปโรงเรียนให้ทัน เรื่อง ”ต้อง” ลงทุน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

Q. กว่าเราพ่อแม่จะกลับถึงบ้านทำกิจวัตรต่างๆ (เท่าที่จำเป็น) และพาลูกเข้านอนก็ 2 ทุ่มกว่าแล้ว จะพาลูกหลับได้ก็เกือบ 4 ทุ่มค่ะ ปัญหาคือ เช้าปลุกลูกยากมาก แถมโวยวายไม่น่ารักเลย ไปโรงเรียนสายบ่อยมาก ทำอย่างไรดีคะ ลูกวัยอนุบาลค่ะ


คำถามนี้น่าจะมี 2 ประเด็น ทั้งนี้ไม่นับอีก 1 ประเด็นจากคำตอบข้อที่แล้ว (เรื่องเลี้ยงลูกหลายมาตรฐาน ปล่อยปละแล้วจะเสียใจ ฉบับมิถุนายน 2556) นั่นคือเราจะยอมให้ลูกทำอะไรได้มากน้อยเพียงไร ในข้อนี้ก็คือเราจะยอมให้ลูกนอนกี่โมงและตื่นกี่โมง ทั้งนี้ด้วยคำตอบเดียวกัน คือ เด็กกำลังทดสอบเราว่าทำอะไรได้หรือไม่ได้ นอนดึกได้และตื่นสายก็ได้ ใช่ไหม อ๋อ ได้สิ ก็แม่จะมาปลุกให้อยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง

2 ประเด็นที่ว่าคือ 1. ในการเลี้ยงลูก 1 คน คุณพ่อคุณแม่ตระหนักหรือไม่ว่าต้องลงทุนเท่าไร และ 2.ในการเลี้ยงลูกซึ่งมีลักษณะทั่วไปเรียบร้อยดี กล่าวคือมิได้เจ็บป่วยอะไร มิได้มีสติปัญญาบกพร่องอย่างมาก มิได้ป่วยด้วยโรคสมาธิสั้นหรือความผิดปกติอื่นใดของพัฒนาการ เช่น ออทิสติก เป็นต้น เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีอะไรที่คุณพ่อคุณแม่ทำไม่ได้

เด็กเล็กควรเข้านอนสองทุ่ม อย่างช้าสามทุ่ม และควรตื่นหกโมงเช้าหรือก่อนหน้านั้นได้ ถ้าจำเป็นต้องใช้เวลาเดินทางไปโรงเรียนมากกว่าปกติ เช่นกันกับทุกเรื่องนั่นคือผมไม่อาจหาญกำหนดเวลาตื่นที่ชัดเจน แต่เข้าใจว่าเส้นตายคือออกจากบ้านไปโรงเรียน ผมมีคำถามเสมอว่าเพราะอะไรเรื่องเท่านี้จึงทำกันไม่ได้

ผมเดาต่อไปว่ามีอุปสรรคมากมายและเงื่อนไขมากมายที่ทำให้ไม่สามารถเอาเด็กเข้านอนสองหรือสามทุ่มได้ เพราะติดขัดที่การจราจร (เฉพาะกรุงเทพมหานครเท่านั้นนะครับ จังหวัดอื่นกรุณาอย่าตามน้ำ) หรือเพราะงานของพ่อแม่ "เท่าที่จำเป็น" ก็ตาม แต่นี่คือประเด็นที่ 1 นั่นคือพวกเราคิดว่าการเลี้ยงลูก 1 คนต้องลงทุนเท่าไร คำตอบคือลงทุนมากพอที่จะเอาเขาเข้านอนสองหรือสามทุ่มและตื่นหกโมงเช้าให้ได้ อะไรที่เรียกว่า "เท่าที่จำเป็น" กรุณาไปทบทวนใหม่

การลงทุนที่พ่อแม่ส่วนมากไม่ยอมลงทุนมักเป็นเรื่อง "เวลา" และ "งาน" บางคนอาจจะแถม ดินเนอร์กับเพื่อน หรือ ฟุตบอลรอบหัวค่ำ พูดง่ายๆ ว่าอะไรๆ ก็จะเอาแต่ฝันหวานว่าลูกจะเรียบร้อยเป็นผ้าพับ เช่นนี้ก็ลำบาก

ผมมีคำตอบที่หลายคนอาจจะไม่เห็นด้วยนั่นคือคุณพ่อคุณแม่ควรเสียสละทุกอย่างเพื่อมาเอาลูกเข้านอน ต่อเมื่อลูกหลับแล้วนั่นแหละจะไปทำอะไรจึงไปทำ "เท่าที่จำเป็น" อย่างว่า

ในตอนเช้า พ่อแม่อยากนอนดึกเท่าไรก็ได้แต่อย่างไรก็ต้องตื่นแต่เช้ามาจัดการลูกไปโรงเรียนให้เรียบร้อย บริหารเวลาถอยหลังเป็นขั้นตอนว่าล้อรถจะหมุนกี่โมง สอนและจับมือทำให้เขากินข้าวเสร็จก่อนล้อหมุน แต่งตัวเสร็จก่อนกินข้าว อาบน้ำเสร็จก่อนแต่งตัว และตื่นนอนเสร็จก่อนอาบน้ำ ตามลำดับ ทำเรื่อยๆ ทำซ้ำๆ ทำทุกวัน ไม่ยอมแพ้

จึงมาถึงประเด็นที่ 2 เป็นไปได้หรือไม่ที่จะทำไม่ได้ ทั้งที่เราตัวใหญ่กว่าเป็นกอง นอนดึกก็ได้ ตั้งนาฬิกาปลุกก็เป็น ชงกาแฟแก้ง่วงก็ได้ ลากเขาจากเตียงไปวักน้ำใส่หน้าก็ยังได้ ทั้งนี้ยังไม่นับข้อเท็จจริงที่สำคัญมากนั่นคือ "ลูกในวัยเด็กเล็ก พร้อมจะเชื่อเราทุกเรื่องอยู่ก่อนแล้ว" ส่วนใหญ่เป็นเรานั่นเอง ที่ส่งสัญญาณให้เขาเรียนรู้ว่าไม่ต้องเชื่อก็ได้ อู้บ้างก็ได้ และดื้อก็ได้นะจ๊ะ

ทั้งหมดที่เล่ามามิได้ให้ตีความว่าจะทำบ้านเป็นค่ายทหาร แต่เด็กทุกคนมีหน้าที่ทดสอบว่าอะไรทำได้อะไรทำไม่ได้เสมอ เรามีหน้าที่แสดงให้เขาเห็นด้วยความตั้งใจจริง เอาจริง สม่ำเสมอ โดยไม่จำเป็นต้องดุด่าแต่ประการใด แน่นอนว่าบ้านย่อมมีการผ่อนหนักผ่อนเบา บางครั้งพ่อแม่ก็มีอารมณ์หงุดหงิดและเหนื่อยเพลีย แต่เรื่องก็จะวนไปที่ประเด็นที่ 1 อีกว่าเรายอมรับมากน้อยเพียงไรว่าเราต้องลงทุนลงแรงมากเพียงใดกว่าจะเอาเด็กหนึ่งคนอยู่

คำตอบชัดๆ คือมาก ในสิบขวบปีแรกของลูก เราต้องลงทุนมากแน่ๆ ครับ


ขอบคุณภาพประกอบจาก photos.com

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook