โรคกรดไหลย้อน (GERD)

โรคกรดไหลย้อน (GERD)

โรคกรดไหลย้อน (GERD)
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เป็นภาวะที่น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการสำคัญ ได้แก่ อาการแสบร้อนบริเวณหน้าอก และมีน้ำรสเปรี้ยวหรือรสขม ไหลย้อนขึ้นมาทางปาก ภาวะกรดไหลย้อนนี้ ถ้าเป็นเรื้อรังอาจทำให้เกิดพยาธิสภาพในหลอดอาหาร ได้แก่ หลอดอาหารอักเสบ มีเลือดออกจากหลอดอาหาร และอาจจะทำให้ปลายหลอดอาหารตีบได้ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุหลอดอาหาร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง กลายเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้ในที่สุด

อะไรเป็นสาเหตุของโรคกรดไหลย้อน ?
เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความผิดปกติของหูรูดส่วนปลายหลอดอาหาร ทำให้มีความดันของหูรูดหลอดอาหารลดต่ำลง หรือเปิดบ่อยกว่าคนปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ อาหารและยาบางชนิด ภาวะน้ำหนักเกิน ความเครียด หรือความผิดปกติในการบีบตัวของหลอดอาหารหรือกระเพาะอาหาร ทำให้เพิ่มโอกาสการไหลย้อนของกรดจากกระเพาะอาหารสู่หลอดอาหารมากขึ้น

อาการของผู้ป่วยขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ถูกระคายเคืองโดยกรด เช่น
1. อาการทางคอหอยและหลอดอาหาร
• กลืนลำบาก ติดๆขัดๆคล้ายมีก้อนอยู่ในคอ หรือกลืนเจ็บ
• เจ็บคอ มีเสมหะอยู่ในลำคอ โดยเฉพาะในตอนเช้า หรือระคายคอ ตลอดเวลา
• อาการปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอกและลิ้นปี่ (Heart Burn) บางครั้งอาจร้าวไปที่บริเวณคอได้
• เรอบ่อย คลื่นไส้ คล้ายมีอาหารหรือน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาในอกหรือคอ
• รู้สึกเหมือนมีรสขมของน้ำดี หรือรสเปรี้ยวของกรดในคอ หรือปาก ( bile or acid regurgitation )

2. อาการนอกระบบหลอดอาหาร
• มีกลิ่นปาก เสียวฟัน หรือมีฟันผุได้
• เป็นหวัดเรื้อรัง
• เสียงแหบเรื้อรัง หรือแหบเฉพาะตอนเช้า หรือมีเสียงผิดปกติไปจากเดิม
• ไอเรื้อรัง รู้สึกสำลักน้ำลาย หรือหายใจไม่ออกในเวลากลางคืน จนอาจทำให้ต้องตื่นกลางดึก
• อาการหอบหืดที่เคยเป็นอยู่ (ถ้ามี) แย่ลง หรือไม่ดีขึ้นจากการใช้ยา เจ็บหน้าอก (non - cardiac chest pain)
• โรคปอดอักเสบ เป็นๆหายๆ

การรักษา
1. ปรับเปลี่ยนนิสัย และการดำเนินชีวิตประจำวัน (lifestyle modification) และหลีกเสี่ยงอาหารที่อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรค
2. การรักษาโดยการใช้ยา
3. การรักษาโดยการผ่าตัด

การปรับเปลี่ยนนิสัยและการดำเนินชีวิตประจำวัน ควรปฏิบัติดังนี้
นิสัยส่วนตัว
• อย่าให้เครียด และงดการสูบบุหรี่
• หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่คับ หรือรัดแน่น โดยเฉพาะบริเวณรอบเอว
• พยายามลดน้ำหนักถ้าน้ำหนักเกิน
• ถ้ามีอาการท้องผูก ควรรักษาและหลีกเลี่ยงการเบ่ง

นิสัยในการรับประทานอาหา
• หลีกเลี่ยงการนอนราบ การออกกำลัง การยกของหนัก การเอี้ยวหรือก้มตัว หลังจากรับประทานอาหารทันที
• รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยการทอด อาหารมัน อาหารย่อยยาก พืชผักบางชนิด เช่น หัวหอม กระเทียม มะเขือเทศ ฟาสต์ฟู้ด
• หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกช็อกโกแลต ถั่ว ลูกอม peppermints เนย ไข่ นมหรืออาหารที่มีรสจัด เช่น เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด หวานจัด
• รับประทานอาหารปริมาณพอดีในแต่ละมื้อไม่ควรรับประทานอาหารจนอิ่มแน่นท้องมาก
• หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มบางประเภท เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์

นิสัยการนอน
• ไม่ควรนอนหลังการรับประทานอาหารทันที หรืออย่างน้อยควรห่างกัน 3 ชม.
• เวลานอน ควรหนุนหัวเตียงให้สูงขึ้นประมาณ 6-10 นิ้วจากพื้นราบ

การรับประทานยา
• ควรรับประทานยาสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง ไม่ควรลดขนาดยาหรือหยุดยาเอง และมาพบแพทย์ตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องเพื่อปรับขนาดยา
• อย่าซื้อยารับประทานเองเวลาป่วย เนื่องจากยาบางชนิดจะทำให้กระเพาะอาหารมีการหลั่งกรดเพิ่มขึ้น หรือกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างคลายตัวมากขึ้น
• ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วยที่มีอาการของ GERD สามารถควบคุมอาการได้ด้วยยา

การรักษาโดยการผ่าตัด
ในปัจจุบันการรักษาด้วยยามักให้ผลการรักษาที่ดีแต่ต้องรับประทานยาเป็นระยะเวลานานกว่าการรักษาโรคกระเพาะอาหารทั่วไป และเมื่อหยุดยาผู้ป่วยส่วนใหญ่ จะมักมีอาการกลับขึ้นมาใหม่ การผ่าตัดจะแนะนำในผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาเป็นเวลานานแล้ว แต่ไม่สามารถควบคุมอาการหรือหยุดยาได้ ผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานยาเป็นเวลานานแล้วมีผลข้างเคียงจากยา ผู้ป่วยอายุน้อยที่จำเป็นต้องรับประทานยาเป็นเวลานาน และผู้ป่วยที่มีผลการแทรกซ้อนที่รุนแรงจากโรค โดยเฉพาะผู้ป่วยเด็ก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook