หลากเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณ เป็นสาวสวยไปนานๆ
Beauty forever
"หนีริ้วรอย ชะลอวัย หุ่นงามตามสไตล์สาว Appeal.......หลากเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณเป็นสาวสวยไปนานๆ"
เราทุกคนอยากยืดเวลาความสาวออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ยากอย่างที่คิด ถ้าคุณรู้เคล็ดลับกระชากวัยแบบง่ายๆ ที่คุณทำเองได้
1. ทำอย่างไรกับริ้วรอย การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ทำให้ผิวหน้าต้องเคลื่อนไหวไปด้วยทุกวัน แต่เมื่อเรามีอายุมากขึ้น ผิวจะมีอีลาสตินน้อยลง ทำให้ผิวรอบดวงตาหรือหน้าผากเกิดริ้วรอยถาวร
Fact: เราสามารถลดริ้วรอยเล็กๆ ได้ 2 วิธี คือ ใช้ครีมบำรุงที่มีประสิทธิภาพคล้ายกับฟิลเลอร์หรือช่วยผ่อนคลายผิว หรือใช้ครีมบำรุงที่มีสารคล้ายกับ Botulinum toxin หรือที่เรียกว่า Polypeptide (โปรตีน) โดยการนวดเบาๆ ที่หน้าผากและหางตา
2. ทำอย่างไรกับเซลลูไลต์ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงอ้วนหรือผอม มักมีเซลลูไลต์เกาะติดตัว แต่ถ้ากล้ามเนื้อได้ออกกำลังก็จะทำให้มีเซลลูไลต์น้อยลง
Fact: เราสามารถลดผิวเปลือกส้มได้ด้วยการออกกำลังกาย ไม่ปล่อยให้อ้วน การออกกำลังที่จะช่วยฆ่าเซลลูไลต์ก็คือ การออกกำลังแบบต่อเนื่อง เช่น ว่ายน้ำ เดินเร็ว จ้อกกิ้ง พิลาติส รวมทั้งเลือกรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีและโปรตีน
3. อายุ 30 มักอ้วนเร็ว? ผู้หญิงวัย 30 ขึ้นไปที่มีมวลกล้ามเนื้อหนาแน่นจะไม่อ้วนเร็ว แต่ผู้หญิงที่มีมวลกล้ามเนื้อน้อยต้องระวัง เพราะจะมีไขมันพอกพูนง่าย นอกจากนี้ฮอร์โมนที่ลดลง รวมทั้งการสูญเสียกล้ามเนื้อตามธรรมชาติ จะทำให้คนเราสูญเสียมวลกล้ามเนื้อประมาณ 1 กิโลกรัมจนกระทั่งถึงอายุ 40 ปี ซึ่งหนึ่งกิโลที่ว่านี้จะเผาผลาญน้อยลงประมาณ 100 แคลอรี่ต่อวัน ฟังดูไม่เยอะ แต่ใน 70 วันจะเพิ่มไขมันที่สะโพกอีกหนึ่งกิโล
Fact: วิธีเพิ่มมวลกล้ามเนื้อแบบง่ายๆ คือ ออกกำลังกายแบบต่อเนื่องวันละ 30 นาที เล่นเวตเทรนนิ่ง 2 ครั้งต่อสัปดาห์ และทานโปรตีนวันละ 1.5 กรัม ต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม นอกจากนี้การทานอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 จะช่วยยับยั้งการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ
4. อายุ 30 เริ่มแก่? ตามทฤษฏีมีว่า กรรมพันธุ์มีส่วนสำคัญในการทำให้คนเราแก่เร็วหรือแก่ช้า ไม่ว่าจะเป็นรูปหน้าหรือผิวพรรณ ส่วนผิวที่ถูกทำร้ายจากสิ่งแวดล้อมก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนในการดูแลตนเอง
Fact: ไม่ว่าคุณจะรับยีนส์ที่ดีมาหรือไม่ แต่ถ้ารักจะเป็นสาวสวยก็ต้องรู้จักบำรุงผิวเป็นประจำสม่ำเสมอ โดยเน้น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเปปไทด์ คอลลาเจนหรือวิตามิน A จะช่วยให้ผิวต่อสู้กับความชราได้
5. มือเหี่ยวย่นเร็ว เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าผิวหนังชั้นที่อยู่ใต้ผิวชั้นบนบอบบาง โดนแสงแดดอยู่เสมอ รวมทั้งต้องล้างมือวันละประมาณ 10 ครั้ง ทำให้ไขมันที่ทำหน้าที่ปกป้องผิวถูกชะล้างออกไป จึงทำให้มือเหี่ยวย่นเร็ว
Fact: ทาครีมบำรุงมือที่มีสารปกป้องรังสืยูวีทุกวัน ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างมือที่อ่อนโยน หรือมีส่วนผสมของน้ำมัน
6. (เส้น) ผมแก่เร็ว บางคนอายุประมาณ 30 ปี ผมก็เริ่มหงอกแล้ว เนื่องจากเซลล์เม็ดสีส่งเมลานินไปให้เส้นผมน้อยลง เมื่อขาดเม็ดสี ก็จะทำให้สีผมจางลง หรือหงอกขาวไปเลย รวมทั้งฮอร์โมนที่ลดน้อยลงก็ยิ่งทำให้รากผมได้รับสารอาหารได้น้อย จึงทำให้ผมร่วงและบางลง
Fact: การทำสีผมจะช่วยปกปิดผมหงอกขาว นอกจากนี้ควรเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผมที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน โสม เคราตินหรือ Taurine
7. ลดความอ้วนมาก ทำให้ผิวเหี่ยวเร็ว จากการศึกษาฝาแฝดคู่หนึ่งพบว่า คนผอมมองดูแก่กว่า เพราะคนที่ผอมเร็วจากการลดความอ้วนจะทำให้ใบหน้าเสียโวลุ่ม และหน้าหย่อนคล้อย ทำให้ใบหน้าดูแก่ก่อนวัย
Fact: หลีกเลี่ยงการไดเอ็ตแบบเร่งด่วน ใครที่อยากลดน้ำหนัก ควรรับประทานโปรตีนให้มาก ทานอาหารที่มีไขมันชนิดดี ทานผักและผลไม้ให้มาก เพราะมันจะช่วยให้ผิวเต่งตึง ช่วยสร้างกล้ามเนื้อและช่วยเผาผลาญไขมันผิวหนังจึงกระชับ แลดูอ่อนวัย
8. อายุ 30 บำรุงให้ผิวเต่งตึงได้มั้ย ขึ้นอยู่กับว่าผิวขาดการบำรุงมากน้อยแค่ไหน สาวคนใดที่มักเข้านอนพร้อมกับเครื่องสำอางหนาเตอะ ไม่เคยใช้ครีมรอบดวงตาและใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวแบบรุนแรง จะทำให้ผิวเหี่ยวย่นเร็วในวัย 30
Fact: ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวสูตรอ่อนโยน และทาครีมให้ความชุ่มชื้นกับผิวอยู่เสมอ เพื่อรักษาความสมดุลของชั้นผิวหนัง หากคุณดูแลผิวไม่ให้แห้ง ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้ผิวเกิดริ้วรอยก่อนวัย
9. อายุ 50 หลีกเลี่ยงแสงแดด ดูอ่อนเยาว์เหมือนวัย 30? แม้ว่าเราจะอยู่ในถ้ำที่ไม่มีแสงแดด เราก็ไม่อาจรักษาความอ่อนเยาว์ไว้ได้ตลอดกาล เพราะสิ่งแวดล้อมภายนอกมีผลกระทบกับกระบวนการความชราภายในร่างกาย กระนั้นก็ตาม รังสียูวีเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้แก่เร็ว เกิดริ้วรอยลึก และเกิดจุดด่างดำ
Fact: ปกป้องผิวจากรังสียูวี เพื่อไม่ให้ผิวแก่เร็ว ควรทาครีมกันแดดทุกวันที่มีค่า SPF 15 ขึ้นไป
10. ออกกำลังกาย จะช่วยให้อ่อนเยาว์ไปนานๆ จากผลการวิจัยพบว่า คนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอจะแลดูอ่อนวัยกว่าคนในวัยเดียวกันถึง 10 ปี
Fact: หากคิดจะออกกำลังกาย จะเริ่มเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ขอให้ทำเป็นประจำสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็ว จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้น 25% ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และยับยั้งอนุมูลอิสระที่ทำลายเซลล์