เทคนิคลดริ้วรอย และแผลเป็น ด้วยการทำ Dermaroller

เทคนิคลดริ้วรอย และแผลเป็น ด้วยการทำ Dermaroller

เทคนิคลดริ้วรอย และแผลเป็น ด้วยการทำ Dermaroller
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ใครที่สนใจ Dermaroller ควรอ่าน

เทคนิคการใช้เข็มกับผิวหน้า หรือเดอร์มาโรลเลอร์ที่หลายคนเคยได้ยินนั้นมีมานานหลายปีแล้ว โดยการใช้เครื่องมือ/อุปกรณ์ต่างๆ หลากหลายแบบ เพื่อทำให้ริ้วรอยลึกและแผลเป็นที่เป็นหลุมนั้นอ่อนนุ่มลงและตื้นขึ้น


Dr.Philippe Simonin ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังได้ตีพิมพ์บทสรุปของเขาใน Baran's Cosmetic Dematology ในปี 1994 ซึ่งเขาตั้งชื่อวิธีการนี้ว่า Electroridopuncture (ERP) และการแพทย์ในวงกว้างก็ยังไม่ทราบเกี่ยวกับวิธีรักษาแบบนี้มากนัก ในการศึกษานี้นั้น Dr. Philippe ได้ทดลองกับผู้ป่วยจำนวน 600 คน โดยเขาได้แบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นผู้ที่มีปัญหาเรื่องผิวหน้าเหี่ยวย่น และอีกกลุ่มหนึ่งเป็นผู้ที่มีปัญหารอยแผลเป็นเก่า เขาได้ทำการรักษาให้กับผู้ป่วยทุกคน คนละ 10 ครั้ง

พบว่าผู้ป่วยในกลุ่มที่มีปัญหาเกี่ยวกับผิวเหี่ยวย่นนั้น

40% ของกลุ่มจะเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน
22% ดีขึ้นปานกลาง และ
13% ดีขึ้นบ้างเล็กน้อย
โดยดูผลจากการเปรียบเทียบกับการเก็บภาพก่อนรักษา

 

ในกลุ่มที่มีปัญหารอยแผลเป็นเก่า พบว่า 60% ของกลุ่มดีขึ้นมากหลังการรักษา 5-6 ครั้ง แผลเป็นที่ได้ผลดีที่สุดคือที่เป็นหลุม
ผู้บุกเบิกในเรื่องการใช้เข็มกับผิวหน้าอีกท่านหนึ่งคือ Dr. Andre Caminrand ศัลยแพทย์พลาสติกชาวแคนาดา ซึ่งได้พบวิธีนี้จากการสังเกตโครงสร้างผิว และรอยบุ๋มของแผล จากการรักษาผู้ป่วยที่มาทำศัลยกรรมตกแต่งผิวหน้า และเคยมีประสบการณ์ในการสักเพื่ออำพรางรอยแผลเป็น เขาจึงทดลองศัลยกรรมตกแต่งผิวหน้าบริเวณที่เป็นแผลเป็นด้วยการสักโดยไม่ใช้ สี และสังเกตโครงสร้างกับสีผิว เขาได้ตีพิมพ์บทความที่ได้จากบทสรุปของเขาใน JACPS ในปี 1992

การทำเดอร์มาโรลเลอร์นี้ปลอดภัยต่อทุกสภาพผิวและสีผิว ไม่มีความเสี่ยงในการเป็นรอยแดง-ดำจากการอักเสบ (สีผิวที่เข้มขึ้นจากการบาดเจ็บของผิว) เช่นเดียวกับผิวหนังแท้ที่จะไม่เกิดความเสียหายระหว่างการใช้เข็มในขั้นตอน การทำเดอร์มาโรลเลอร์ นี่เป็นประเด็นหลักซึ่งจะมองเห็นความปลอดภัยได้อย่างชัดเจน เมื่อเปรียบเทียบการใช้เข็มเดอร์มาโรลเลอร์ กับการทำหน้าด้วยวิธีการอื่นๆ เช่นการทำ laser การลอกหน้าด้วยเคมี และการกรอหน้าด้วยอัญมณี


ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนจากการทำเดอร์มาโรลเลอร์นี้รวมถึง :

- ความเสี่ยงในการติดเชื้อน้อย
- ระยะเวลาในการรักษา และการพักฟื้นสั้น
- ค่าใช้จ่ายต่ำ

การจิ้มเข็มลงไปที่ผิวหน้าให้เกิดรูขนาดเล็กเป็นร้อยๆครั้งในแต่ละรูบนผิวนั้น จะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดกระบวนการรักษาแผลตามธรรมชาติ ช่วยให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ในบริเวณที่รักษาด้วยวิธีนี้ และการรักษาด้วยวิธีนี้อย่างต่อเนื่อง จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ที่จะเติมเข้าไปในรอยแผลเป็นบุ๋ม และริ้วรอยลึกได้ ซึ่งกระบวนการเติมคอลลาเจนด้วยวิธีธรรมชาตินี้จะเกิดขึ้นและให้ผลต่อเนื่อง ไปประมาณ 12 เดือนหลังจากการรักษา
ผลที่ได้รับก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนให้ผลถึง 90% ในรายที่เป็นรอยแผลเป็น แต่ในบางคนก็อาจให้ผลต่ำกว่า 50% อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยทุกรายจะต้องมีพัฒนาการที่ดีขึ้นบ้าง

 

ปัจจุบัน นี้มีลูกกลิ้งเข็มสำหรับใช้ส่วนตัวจำหน่ายอยู่มากมาย และมีความยาวของเข็มที่แตกต่างกันไปหลากหลายขนาด เส้นผ่านศูนย์กลางของเข็ม และจำนวนเข็มบนลูกกลิ้งนั้นเป็นประเด็นที่ทำให้ผู้ใช้สับสน ด็อกเตอร์พิคอาร์ตได้ทดลองลูกกลิ้งที่มีความยาว และเส้นผ่านศูนย์กลางของเข็มแตกต่างกันหลายขนาด โดยกล่าวว่าจำนวนของเข็มที่อยู่บนลูกกลิ้งนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญน้อยที่สุด เพราะเวลาที่เรากลิ้งเข็มซ้ำไป-มาก็จะทำให้เกิดจำนวนรูเข็มบนผิวหนังได้ มากอยู่แล้ว เส้นผ่าศูนย์กลางของเข็มนั้นสำคัญที่สุด เพราะเราต้องการทำให้เกิดรูบนผิวหนังโดยไม่ก่อให้เกิดรอยแผลใหม่ขึ้น จากประสบการณ์ของด็อกเตอร์พิคอาร์ต เส้นผ่านศูนย์กลางของเข็มที่เหมาะที่สุดที่จะไม่ทำให้เกิดรอยแผลใหม่บนผิว หนังคือ 0.25 มม. เข็มที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่านี้ก็ใช้ได้ แต่จะไม่ก่อให้เกิดความกว้างของรูบนผิวหนังที่เพียงพอต่อผลการรักษา และอาจใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลที่ได้จากการรักษา
ความยาวของเข็มก็เป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ เป้าหมายของการทำเดอร์มาโรลเลอร์นั้นคือ ต้องการให้เข็มนั้นจิ้มเข้าไปที่ผิวชั้นหนังแท้ที่ชั้นบนสุดของชั้นนี้ ซึ่งเป็นชั้นผิวชั้นที่สอง ผิวหนังชั้นนี้จะมีส่วนประกอบของ stem cells เป็นจำนวนมาก ที่สามารถสร้างคอลลาเจนใหม่ได้ ผิวชั้นหนังกำพร้า (ผิวหนังชั้นนอกสุด) จะมีความแตกต่างในความลึกของชั้นผิวตั้งแต่ 0.05mm ที่ผิวเปลือกตา ไปจนถึง 1.5mm ที่ผิวบริเวณส้นเท้า
ผิวชั้นหนังกำพร้าบนใบหน้า (ที่อื่นนอกเหนือจากเปลือกตา) จะมีความแตกต่างในความลึกของผิวตั้งแต่ 0.3mm ถึง 1mm ด้วยเหตุนี้ เข็มที่มีความยาว 0.75 มม. ถึง 2 มม. นั้นจึงยาวเกินความพอดีที่เลยชั้นบนสุดของหนังแท้ จากประสบการณ์ส่วนตัวของด็อกเตอร์กล่าวว่า เข็มที่มีความยาวมากกว่า 2 มม. มีแนวโน้มที่จะทำให้ผิวฉีกขาดได้

การรักษาผิวหน้าด้วยวิธีการเดอร์มา โรลเลอร์นั้นเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เพื่อเป็นทางเลือกในการรักษารอยแผลสิวชนิดที่เป็นหลุม ซึ่งให้ผลดีเป็นที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับการรักษาด้วยวิธีการเลเซอร์ โดยการทำอย่างต่อเนื่อง และทำซ้ำหลายๆครั้ง

เนื่องจากผิวจะมีการจด จำบริเวณที่มีการรักษาไปแล้ว ด็อกเตอร์พิคอาร์ตแนะนำว่าควรใช้วิธีการรักษานี้ซ้ำทุก 1-2 ปี และแนะนำให้ผู้ป่วยใช้ลูกกลิ้งเข็มต่อเนื่องที่บ้าน เพื่อให้การรักษาได้ผลต่อเนื่องยาวนานยิ่งขึ้น

 


ขอบคุณข้อมูล : http://www.acnethai.com

ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.photos.com

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook