"น้องปณต" สมาชิกตัวน้อยศูนย์รวมใจของบ้าน "หวั่งหลี"

"น้องปณต" สมาชิกตัวน้อยศูนย์รวมใจของบ้าน "หวั่งหลี"

"น้องปณต" สมาชิกตัวน้อยศูนย์รวมใจของบ้าน "หวั่งหลี"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากใครได้มีโอกาสไป ล้ง 1919 ท่าประวัติศาสตร์ศิลป์ไทย-จีน ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แลนด์มาร์คที่เป็นที่นิยมของทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ คงจะต้องประทับใจไม่น้อยในความสวยงามที่ส่วนต่างๆถูกออกแบบมาได้อย่างลงตัว ซึ่ง คุณเปี๊ยะ-รุจิราภรณ์ หวั่งหลี มัณฑนากรอันดับต้นๆ ของเมืองไทย มารดาของ ดร.ศรัณฐ์ หวั่งหลี ได้ชุบชีวิตท่าน้ำแห่งนี้ได้อย่างสวยงาม

รุจิราภรณ์ หวั่งหลี

“แม่ผมเก่งมากที่เนรมิตล้งให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ผมได้เห็นความสามารถของแม่ และแม่ก็ทำให้ผมสนุกกับล้งมาก เป็นสถานที่ที่ผมมา Enjoy Lifeได้ตลอด ครอบครัวเราอยากคืนพื้นที่สู่สังคมและสร้างประโยชน์ได้มากกว่าการปล่อยเช่าห้องพักทั่วไปอย่างที่เคยเป็นมา ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว”

หลายคนเมื่อมาล้งอาจได้เห็นดร.ศรัณฐ์ หวั่งหลี ในบทบาทการเป็นไกด์พาอาคันตุกะชมสถานที่พร้อมบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาสอดแทรกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้ฟังกันเพลินอย่างกับไกด์มืออาชีพ ส่วนอีกบทบาทนั้น คุณป่านดำรงตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) เพื่อแบ่งเบาภาระของคุณพ่อสุจินต์ให้ท่านได้พักผ่อนและหาความสุขให้ชีวิตมากขึ้น

แม้การทำงานทั้งสองที่จะให้ความสุขและสร้างความสนุกที่แตกต่างกัน เป็นสีสันในชีวิตของคุณป่าน แต่สิ่งที่จะมาเติมเต็มให้ชีวิตสมบูรณ์แบบนั่นก็คือครอบครัว หลังงานแต่งงานยิ่งใหญ่งดงามตระการตาที่บ้านหวั่งหลี ริมแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว ชีวิตคู่ของ ดร.ศรัณฐ์ และพ.ญ.สถิตย์หทัย หวั่งหลี  ก็ได้เริ่มต้นขึ้นที่บ้านซอยกลาง

“มดย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านผมหลังจากที่เราแต่งงานกัน เป็นช่วงที่มดต้องปรับตัวหลายๆ อย่าง ทั้งการใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน การเป็นสมาชิกใหม่ในอีกครอบครัว ส่วนตัวผมอยากมีลูกเลย เพราะด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิ ผมพร้อมแล้ว การที่คนเราจะก้าวไปข้างหน้ามีปัจจัยหลายอย่างมาก และผมคิดว่าลูกเป็นสิ่งที่ดีที่จะมาเติมเต็มครอบครัว ผมรู้ว่ามดรักในอาชีพหมอและอยากก้าวหน้าในวิชาชีพตัวเอง เพราะผมเองก็เป็นคนอย่างนั้นเหมือนกัน แต่มดยอมทิ้งฝันส่วนตัวเพื่อมีลูกก่อน นี่คือความเสียสละมากของเขาเพื่อครอบครัวของเรา”

“มดกำลังวางแผนอยากเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางด้านจิตเวชเด็ก เราจับเข่าคุยกันในเรื่องนี้ พอมดรู้เหตุผลสำคัญของพี่ป่านที่อยากรีบมีลูก มดตัดสินใจทันทีค่ะว่าเราจะมีลูกกัน” คุณมดหันไปมองสามีเพื่อให้เจ้าตัวได้บอกเหตุผลนั้นด้วยตัวเอง

“ผมไม่อยากให้คุณพ่อแก่ไปกว่านี้ก่อนจะมีหลาน อยากให้ท่านได้เล่นกับหลานนานๆ” คุณป่านพูดถึงคุณสุจินต์ หวั่งหลี สามีคุณเปี๊ยะ ประธานกรรมการ บริษัท นวกิจประกันภัย

ประมาณ 6 เดือนหลังแต่งงาน ทั้งคู่ก็มีข่าวดีให้ครอบครัวทั้งสองบ้าน “พี่ป่านดีใจมากที่รู้ว่าเรากำลังจะมีลูกกัน จำได้เลยว่าวันแรกที่รู้ว่ามดท้อง เขาพาไปซื้อกางเกงยืด  (หัวเราะ)”

“ผมไม่ได้ตื่นเต้นกับการเป็นพ่อนะ แต่ตื่นเต้นกับการมีภรรยาเป็นหมอมากกว่า เพราะมดทำให้ผมรู้ทุกพัฒนาการของเด็ก  ว่าแต่ละช่วงเวลาจะมีอะไรเกิดขึ้นในท้องบ้าง อย่างเพื่อนๆ ผม ถ้าเพื่อนฝูงรู้ข่าวว่าภรรยาใครท้อง ก็จะยินดีแล้วก็ส่งข่าวกันว่าอีกกี่เดือนจะคลอด แต่ผมนี่จะรู้จากมดตลอดว่า ช่วงนี้ลูกจะเป็นยังไง เขาจะเตะท้องแม่กี่ที มดจะวิตกกังวลมาก เพราะความเป็นหมอเคยแต่แนะนำคนไข้ แต่ครั้งนี้เกิดขึ้นกับตัวเขาเอง”

“มดแพ้ท้องเยอะมากจนถึงเดือนที่ 6  ก็ยังอยากกินแอปเปิลอยู่เหมือนเดิม กินทุกวัน วันละ 4 ลูก” คนโบราณเชื่อว่าถ้าใครท้องแล้วอยากกินแต่ผักผลไม้ ลูกในท้องจะเป็นเทวดาลงมาเกิด คุณมดจึงแซวตัวเองว่า “สงสัยปณตจะเป็นเทวดาแน่ๆ ค่ะ” นอกจากแอปเปิลกับแคนตาลูปแล้ว เธอก็อยากกินมะม่วงน้ำปลาหวาน เหมือนแม่หญิงการะเกดในละครดังเรื่องบุพเพสันนิวาสที่ถ้ามีโอกาส เธอก็ไม่พลาดที่จะชม  “ปกติไม่ได้ชอบมะม่วงขนาดนั้น แต่พอท้องอยากกินมาก จนคุณปู่เกือบจะตั้งชื่อหลานว่า ‘น้ำปลาหวาน’ อยู่แล้ว”

ว่าแล้ว จึงขอถามถึงที่มาชื่อ ‘ปณต’ ของลูกชาย คุณป่านอาสาตอบ “มาจาก ‘ป่านกับมด’ ไงครับ” คำตอบจากผู้ชายที่ออกตัวว่าไม่ใช่คนสวีทหวาน ทำเอาคนฟังส่งเสียงอื้อหือไปตามๆ กัน คุณมดเสริมว่า “ปณตเป็นคำสั้นๆ ก็เลยใช้เป็นทั้งชื่อจริงและชื่อเล่น”

“มดไม่ใช่หมอเด็ก ไม่ได้รู้ทุกอย่างในการเลี้ยงเด็ก ยิ่งเป็นลูกคนแรก ยิ่งไม่มั่นใจการเป็นคุณแม่มือใหม่ ตอนท้องมดอ่านหนังสือคู่มือแม่ลูกเยอะมาก แต่ความที่เราอยู่โรงพยาบาล เห็นเด็กคนนั้นเป็นนี่ เด็กคนนี้เป็นนั่น ทำให้เราอดนอยด์ไม่ได้ เพราะกลัวลูกเราจะเป็นด้วย ถึงกับหยิบแพมเพิร์สลูกเพื่อมาสังเกตว่าสีอึลูกผิดปกติไหม แม้พี่ป่านจะเตรียมคนมาช่วยมดดูลูกตอนกลางคืน เพราะมดเมื่อครบกำหนดลาคลอด มดก็กลับไปทำงานเหมือนเดิม แต่มดก็พยายามเลี้ยงลูกเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” ฉะนั้น หลังเลิกงานหรือออกจากการอยู่เวร คุณมดจะขับรถตรงกลับบ้านทันที ไม่แวะที่ไหนเลย เพื่อได้ใช้เวลากับลูกและครอบครัวมากที่สุด”

“พอปณตเห็นมดเดินเข้าบ้านมา เขาจะวิ่งมาหาพร้อมตะโกนว่า ‘แม่ๆ กลับบ้านแล้ว’ ผมเห็นแล้วยังมีความสุขแทนมดเลย บ้านนี้ที่เคยเงียบเหงามานานตั้งแต่ผมไปเรียนต่างประเทศ ก็กลับมีชีวิตชีวาอีกครั้ง โดยเฉพาะพ่อจินต์ ท่านสดใสขึ้นมาก เพราะปณตรักคุณปู่มาก เพราะปู่เป็นคนเดียวในบ้านที่ยอมให้กินหมูหย็อง (หัวเราะ) บ้านมดเอง คุณตาคุณยายก็อยากมาเล่นกับหลาน ปณตเป็นเด็กที่ร่าเริงและมีสุขภาพจิตดีมาก เราไม่เคยทะเลาะหรือเสียงดังใส่กัน ลูกก็ไม่เคยลงไปนอนดิ้นกรี๊ดกร๊าดถ้าถูกขัดใจ เพราะเขาไม่เคยต้องซึมซับสิ่งเหล่านี้”

“ปณตเป็นคนที่เชื่อมทุกคนเข้าหากัน โดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง พี่ป่านไปอยู่บ้านมดที่ขอนแก่นได้โดยไม่รู้สึกอึดอัด วันก่อนคุณแม่พี่ป่านเล่าให้ฟังว่า คุณแม่มดโทร.มาคุยกับท่าน แล้วก็ถามถึงหลานที่นั่งอยู่เบาะหลัง คุณย่าจึงบอกคุณยายว่า ‘หลับอยู่ๆ’ ปณตคงได้ยินเสียงคุณยายเลยตอบขึ้นมาว่า ‘ปณตยังไม่หยับ’ ทุกคนก็หัวเราะกันทั้งรถในความฉลาดของเขา”

ทั้งคุณมดและคุณป่านมีความชัดเจนในการเลี้ยงลูก โดยเฉพาะการปลูกฝังอุปนิสัยที่ดีตั้งแต่เล็ก โดยไม่รอให้โตก่อนแล้วค่อยอบรมสั่งสอน “คุณแม่หลายคนมักตามใจให้ลูกกินทุกอย่าง และมีค่านิยมว่าเด็กอ้วนจ้ำม่ำเป็นเด็กน่ารัก ทั้งที่จริงแล้ว ถ้าปล่อยให้เด็กกินหวานมากจะมีน้ำตาลสะสมในเลือดสูงได้ โตขึ้นจะมีปัญหาโรคอ้วนตามมา แล้วเขาจะใช้ชีวิตลำบาก” นี่จึงเป็นเหตุผลที่คุณมดระวังเรื่องอาหารให้ลูก

อีกสิ่งสำคัญที่คุณมดเข้มงวดกับลูกมาก ก็คือการห้ามลูกดูจอทุกชนิด ไม่ว่าจะจอทีวี จอมือถือ จอไอแพด แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ต่างๆ เด็ดขาด ในขณะที่คนส่วนใหญ่มักทิ้งลูกหลานไว้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

“มดไม่ได้กลัวลูกพูดช้า เพราะการพูดไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดเท่าสิ่งที่เราเลือกใส่ในสมองลูก มดเห็นพ่อแม่เอาลูกมาปรึกษาเรื่องการพัฒนาการเด็กที่ไม่สมวัยเยอะมาก” คุณมดอธิบายว่าจอเหล่านี้ทำให้เด็กขาดการเรียนรู้ที่ได้จากการสังเกตจากคนรอบตัว ที่สำคัญความถี่คลื่นวิทยุและรังสีจากจอเป็นอันตรายต่อพัฒนาการทางสมองของเด็ก ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้ความต้องการบางอย่างอยู่แค่ปลายนิ้ว แต่ผลข้างเคียงคือการทำให้เด็กขาดความอดทน ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ ขาดสมาธิ ชอบหมกมุ่นอยู่กับตัวเอง และเข้าสังคมยากในที่สุด

“ผมนับถือมดในเรื่องนี้เลย เพราะเขาให้ความสำคัญกับพัฒนาการตามวัยของลูกมาก ตั้งแต่ปณตแรกเกิด มดบอกผมว่าเด็กวัยนี้จะมองเห็นแต่สีขาว ดำ และแดงก่อน ฉะนั้นของเล่นลูกที่เขาหามาให้ปณตในช่วงนั้นก็จะเป็นสีตามนั้น ตอนลูกหัดเดินต้องใส่รองเท้าคู่นี้ อาหารต้องกินอย่างนี้ เขาใส่ใจในทุกรายละเอียดของลูกมาก”

 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน นิตยสาร HELLO! ปีที่ 13 ฉบับที่ 11 วางแผงแล้ววันนี้ หรือดาว์นโหลดฉบับดิจิตอลได้ที่  www.ookbee.com , www.shop.burdathailand.com

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook