Living on Slowly Life ช้าๆ ได้สุขภาพดี

ทุกวันนี้คนเราใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความเร่งรีบ กิจกรรมบางอย่างถ้าเราปรับให้ช้าลง ลองใช้ชีวิตแบบค่อยเป็นค่อยไป นอกจากจะทำให้เราไม่เหนื่อยเกินไปแล้วยังช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้นอีกด้วย

 

เคี้ยวอาหารช้าๆ ฟิตแอนด์เฟิร์มสมอง

ในหนึ่งวันคนเรากินอาหารวันละสามมื้อ ไม่นับรวมขนมจุบจิบอีกไม่รู้เท่าไหร่ ลองนึกดูว่ากระเพาะอาหารน้อยๆ ของเราต้องทำงานหนักมากขนาดไหน ยิ่งเป็นมื้อเช้าที่เร่งรีบด้วยแล้วบางคนหยิบขนมปังเข้าปากเคี้ยวไม่เกินสามคำก็กลืนลงท้อง ทิ้งภาระให้กับกระเพาะของเราทำหน้าที่ย่อยต่อไป

การเคี้ยวอาหารให้ช้าลงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยแบ่งเบาภาระไม่ให้กระเพาะอาหารหนึ่งในอวัยวะชิ้นสำคัญของร่างกายมนุษย์ต้องทำงานหนักเกินไป เชื่อกันว่าในหนึ่งคำเราควรเคี้ยวอาหารไม่ต่ำกว่า 30 ที เพราะจะช่วยให้กระเพาะอาหารทำงานได้ดีขึ้น อีกทั้งยังมีผลการศึกษายืนยันว่ายิ่งเราเคี้ยวอาหารนานขึ้นเท่าไหร่นั่นหมายถึงเราได้ออกกำลังให้สมอง เสริมพลังการคิด และเพิ่มสมาธิได้มากขึ้นเท่านั้น

 

 

เดินช้าๆ พาสุขภาพดี

มีงานวิจัยจากแคลิฟอร์เนียพบว่าผู้ที่เดินในระยะทางไกลจะช่วยให้น้ำหนักลดได้มากกว่าผู้ที่เดินในระยะทางใกล้ แม้ว่าจะใช้ความเร็วและออกแรงมากกว่าก็ตาม การเดินช้าๆ ควรจะตั้งเป้าหมายไว้อย่างน้อยที่ 30 กิโลเมตรต่อสัปดาห์

นอกจากนี้การเดินช้าๆ ยังเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะกับผู้สูงอายุ และผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากเพราะการเดินช้าๆ จะทำให้กระดูกที่หัวเข่าของเรารับแรงเสียดทานจากน้ำหนักตัวน้อยกว่าการวิ่งเร็วๆ หรือการออกกำลังกายประเภทอื่น เพราะฉะนั้นแทนที่จะหักโหมกับการออกกำลังแบบหนักๆ ลองเปลี่ยนมาใช้วิธีเดินช้าๆ กันดูบ้างก็ดีนะ

 

 

หายใจเข้า-ออก ช้าๆ ลดความดันโลหิตสูง

มนุษย์เรารู้จักวิธีการหายใจมาตั้งแต่เกิด หากบอกให้ฝึกการหายใจ หลายคนอาจส่ายหัวเพราะคิดว่าเราหายใจกันได้อยู่แล้วไม่เห็นจำเป็นต้องฝึก แต่จริงๆ แล้วการหายใจเข้า-ออกอย่างถูกวิธีสามารถช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูงได้ด้วย

ในหนึ่งนาทีเราควรหายใจเฉลี่ย 13-19 ครั้ง และการหายใจที่ถูกต้องควรหายใจเข้าท้องป่อง หายใจออกท้องแฟบ โดยเวลาที่เราหายใจเข้าควรสูดลมหายใจให้ลึกและช้า จากนั้นให้กลั้นลมหายใจไว้สักครู่หนึ่งแล้วค่อยปล่อยลมหายใจออกอย่างช้าๆ นอกจากนี้ผลวิจัยทางการแพทย์พบว่าผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ฝึกหายใจเข้า-ออกช้าๆ เป็นเวลา 15 นาทีต่อวัน ติดต่อกันนาน 2 เดือน จะช่วยลดความดันลงได้มากกว่าผู้ที่ไม่ได้ฝึกหายใจ รู้อย่างนี้แล้วคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะลองมาฝึกหายใจกันใหม่อีกสักหน