ภาวะตลาดหุ้นรายวัน - บล.เคจีไอ

ภาวะตลาดหุ้นรายวัน - บล.เคจีไอ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

บวกกรอบแคบ กองทุนในประเทศหนุนตลาด   KGI ประเมินตลาดหุ้นไทยวันพุธบวกกรอบจำกัด คาดว่าการรีบาวด์แรงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อคืนด้วยความหวังว่า ธ.กลางสหรัฐฯ อาจประกาศมาตรการกระตุ้นทางการเงิน (ตลาดพูดกันถึงมาตรการ Operation Twist หรือการขายพันธบัตรอายุสั้นและซื้อพันธบัตรอายุยาว) จะไม่หนุนหุ้นเอเชียมากนัก เนื่องจากแรงกดดันจากยุโรปเพิ่มขึ้น เมื่อวานนี้ดอกเบี้ยพันธบัตรสเปนทดสอบระดับสูงสุดครั้งใหม่ที่ 6.83% ก่อนปิดที่ระดับสูงที่ 6.71% ขณะที่ดอกเบี้ยพันธบัตรอิตาลีปิดที่ 6.1% ก่อนหน้าที่อิตาลีจะประมูลพันธบัตรมูลค่า 4.5 พันล้านยูโรในวันพฤหัสฯ ทั้งนี้ปัจจัยในยุโรปน่าจะกระตุ้นต่างชาติขายสุทธิต่อไป ส่วนพอร์ต บล. และนักลงทุนสถาบันจะช่วยค้ำตลาดได้ โดยในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา กองทุนหลายแห่งเปิดขาย Target Funds ตั้งเป้าผลตอบแทน 8-10% ในช่วง 9-12 เดือนข้างหน้า มูลค่าทั้งหมดน่าจะอยู่แถว 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากเทียบกับยอดซื้อสุทธิของสถาบันนับตั้งแต่ต้นเดือน มิ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 6.1 พันล้านบาทนั้น คาดว่าสถาบันจะยังซื้อหุ้นเข้าพอร์ตอยู่ในระยะนี้   ปัจจัยการเมืองเป็นบวกมากขึ้น หลังจากประธานสภาฯ ตัดสินใจเลื่อนการพิจารณาวาระ 3 ของการแก้รัฐธรรมนูญไปเป็นเดือน ส.ค. ซึ่งจะลดแรงเสียดทานได้มากในช่วงนี้ ส่วนปัจจัยเศรษฐกิจวันนี้ กนง.จะประชุมนโยบายการเงินและน่าจะตรึงดอกเบี้ยนโยบายที่ 3.0% และน่าจะลดความกังวลต่อเงินเฟ้อ หลังจากปัญหาเศรษฐกิจยุโรปกดดันให้ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ปรับลดลง   กลยุทธ์: เราคงมุมมองว่าตลาดหุ้นจะแกว่งตัวรอผลเลือกตั้งกรีซในวันอาทิตย์ แนะนำเลี่ยงหุ้นหลักและเน้นซื้อหุ้นที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์การเมืองที่ดีขึ้น และความมั่นใจของผู้บริโภคและนักลงทุนที่น่าจะดีขึ้น เช่นอสังหาริมทรัพย์และนิคม (AP, SIRI, HEMRAJ) รวมทั้งธนาคารที่เน้นสินเชื่อการบริโภคเช่น BAY* ส่วน INTUCH เรายังแนะเล่นประเด็นการคำนวณดัชนี SET50 สำหรับครึ่งหลังของปี 2555   ความเห็นข่าวเด่นจากสถาบันวิจัยฯ   SCB* ระบุ ในช่วงกลางปีนี้ ธนาคารจะทบทวนเป้าหมาย การเติบโตของสินเชื่อรวมปีนี้ โดยอาจปรับเพิ่มขึ้น หลังสินเชื่อรวมช่วง 4 เดือนแรกปีนี้เติบโตไปแล้ว 20% ขณะที่ทั้งระบบโต 15-16% และ มองว่า สินเชื่อในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังมีทิศทางการเติบโตที่ดี ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ รวมทั้งช่วงไตรมาส 4/54ไทยประสบปัญหาน้ำท่วม จึงกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อโดยเฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัย และรถยนต์ สินเชื่อทั้งสองประเภท มีการเติบโตมากในช่วงต้นปีนี้ และมองว่าน่าจะยังต่อเนื่อง ในช่วงที่เหลือของปีนี้ด้วย กรณีของกลุ่มบมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) นั้น เชื่อว่าความกังวลเกิดขึ้น จากการที่มีสถาบันการเงิน 2 แห่ง เรียกคืนเงินทุนหมุนเวียนจาก SSI ซึ่งเป็นผลจากฐานะทางการเงินของ SSI UK ที่ยังอ่อนแออยู่ ประกอบกับราคาเหล็กในตลาดโลกลดลง   สำหรับ SCB นั้น มีการปล่อยกู้ให้กลุ่ม SSI วงเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นทั้งสินเชื่อระยาว และเงินทุนหมุนเวียน โดยธนาคารมองว่า การประกอบธุรกิจของ SSI ที่ประเทศไทยมีความแข็งแกร่งโดยวงเงินกู้ที่ให้ SSI ส่วนใหญ่นำไปใช้ในโรงงานเหล็กในประเทศ ซึ่ง และมีสัดส่วนไม่มากที่นำไปใช้ใน SSI UK ดังนั้นจึงไม่มีความกังวลเรื่องการปล่อยกู้ให้กลุ่มดังกล่าว เราเคยทำการพูดคุยกับ SCB ในเรื่องนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว และผู้บริหารยืนยันว่า SSI เป็นลูกค้าเก่าแก่ของธนาคาร และไม่เคยมีประวัติผิดนัดชำระหนี้มาก่อน เหตุในครั้งนี้ เกิดจากการที่ SSI UK เปิดดำเนินการช้ากว่ากำหนดเท่านั้น ไม่ได้เกิดจากปัญหาด้านฐานะการเงินของ SSI เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ SCB โดยมีราคาเป้าหมาย 171 บาท SCC* เตรียมลงทุนร่วมกับ Nippon Paper Group (NPG) เพื่อผลิตลงทุนในผลิตภัณฑ์ HVA ธุรกิจกระดาษ มูลค่า 2.2 พันล้านบาท โดยเราประเมิน สภาพคล่องที่มีอยู่ในระดับสูง ทำให้บริษัทสามารถใส่เงินลงทุนในบริษัทใหม่บริษัทสยาม นิปปอน อินดัสเตรียล เปเปอร์ จำกัด (SNP) จำนวน 990 ล้านบาท หรือ 45% ของเงินลงทุนรวมทั้งหมดได้อย่างไม่มีปัญหา โดยคาดกระดาษ Machine Glazed เป็นกระดาษที่มีความมันวาวและมีความบาง 20-80 แกรม ส่วนใหญ่ใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมทางการแพทย์ จะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้กลางปี 2557 นอกจากนี้ จำนวนคู่แข่งในตลาดที่อยู่ในระดับต่ำ (ปัจจุบันมีกำลังการผลิตประมาณ 1 พันตัน ต่อปี) จะทำให้บริษัทสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดและสามารถสร้างผลตอบแทนได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 10-15% ดังนั้น แนวโน้มทิศทางของธุรกิจที่ยังเติบโตโดดเด่น ทำให้เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 450 บาท CPALL* ประเมินยอดขายในส่วนของอาหารและเครื่องดื่ม จะได้รับผลบวกในช่วงการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2012 ทั้งนี้ เรามีความเห็นสอดคล้องกับประเด็นข่าวดังกล่าว เพราะร้านสะดวกซื้อของบริษัทที่ตั้งในพื้นที่ที่เหมาะสมทั่วประเทศ สามารถรองรับกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นในช่วงการแข่งขัน เราคาดว่าแนวโน้มกำไรที่แข็งแกร่งจะดำรงอยู่ต่อไป เนื่องจากยอดขายอาหารและเครื่องดิ่มน่าจะเติบโต 10-25% ในไตรมาส 2/2555 เราคาดว่ากำไรสุทธิในปี 2555 อยู่ที่ 1.03 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 8 พันล้านบาทในปีที่แล้ว เรายังคงแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 46 บ.   โดย บมจ.หลักทรัพย์ เคจีไอ(ประเทศไทย) ประจำวันที่ 13 มิ.ย. 2555

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook