6 สิ่งที่ควรทำช่วงปลายปี

6 สิ่งที่ควรทำช่วงปลายปี

6 สิ่งที่ควรทำช่วงปลายปี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

6 สิ่งที่ควรทำช่วงปลายปี

Photo from www.pantip.com
Photo from www.pantip.com

ช่วงนี้ก็เป็นช่วงปลายปีแล้ว ปกติช่วงนี้จะเป็นช่วงแห่งความสุขสันต์ เนื่องจากมีวันหยุดยาวและเทศกาลต่างๆ และเป็นช่วงที่คนพยายามจะรีบเคลียร์งานที่คั่งค้างให้เสร็จสิ้นไป มีงานเลี้ยง ปาร์ตี้ ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หรือกระทั่งคริสต์มาสที่คนไทย ที่ถึงแม้ไม่ใช่คริสต์ศาสนิกชน ก็ยังขอร่วมแจมเฮฮาไปกับเขาด้วย แต่มีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ผมอยากให้ท่านผู้อ่านทำกัน ซึ่งผมเองก็จะทำอยู่เป็นประจำช่วงปลายปี คือ

1). ทบทวนสิ่งที่เราทำไปตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันว่า เราได้ทำสิ่งดีๆ หรือสิ่งไม่ดีกับตัวเองครอบครัว เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน สังคมไทย และโลกอย่างไรบ้าง โดยยึดหลัก เอาใจเขามาใส่ใจเรา สิ่งใดที่ดีก็จะนำไปปฏิบัติต่อในปีหน้า สิ่งที่ไม่ดีก็ต้องหาทางปรับปรุงให้ดีขึ้น ส่วนในด้านการลงทุน ผมก็มักจะทบทวนดูว่า การลงทุนในปีนั้นๆ ได้ผลตอบแทนเป็นอย่างไร หุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนไปมีรายการไหน ที่ตัดสินใจถูกต้องหรือผิดพลาดอย่างไร

2). ทบทวนหนี้สิน (ถ้ามี) ว่าเป็นหนี้ที่เกิดจากอะไรบ้าง และอัตราดอกเบี้ยสูงต่ำอย่างไร โดยพยายามที่จะไม่ก่อหนี้เพื่อสินค้าที่เสี่อมมูลค่าได้ง่าย เช่น รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ ปัจจุบันนี้ธุรกิจผ่อนสินค้ารุกไปถึงเครื่องสำอางและทัวร์แล้ว ผมไม่เข้าใจคนที่ซื้อสินค้าเหล่านี้ด้วยเงินผ่อนคิดอย่างไร โดยเฉพาะเครื่องสำอางและทัวร์ ซึ่งเป็นสินค้าและบริการที่ไม่จำเป็นกับชีวิตเลย ซึ่งอัตราดอกเบี้ยประเภทสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต จะมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงมาก ประมาณ 20กว่า%ต่อปี การที่ท่านจะลงทุนให้ได้ผลตอบแทนในระดับนั้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว ขนาด Warren Buffet นักลงทุนที่มีชื่อเสียงระดับโลก ยังทำผลตอบแทนได้ประมาณ 20 กว่า % เท่านั้น ยกเว้นแต่ท่านมีเงินมากพออยู่แล้ว อยากซื้อมาใช้ หรืออยากไปเที่ยว อย่างนั้นไม่ว่ากัน ส่วนคนที่เป็นหนี้ ควรจะพยายามลดและล้างหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงที่สุดไปก่อน ส่วนมากมักจะเป็นสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล หลังจากล้างหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงไปหมดแล้วค่อยมาเปรียบเทียบดูว่า ระหว่างคงหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำ กับมีเงินเหลือนำไปลงทุนในทรัพย์สินที่คาดหวังผลตอบแทนได้สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตั้งแต่ 1.50-2 เท่าเป็นต้นไป หรือจะไปล้างหนี้ให้หมดเสียก่อน แล้วค่อยคิดที่จะลงทุน นั่นคงแล้วแต่ Risk Appetite ของแต่ละท่านและความเชื่อมั่นของทรัพย์สินที่จะลงทุนว่ามีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนตามที่คาดหวัง และควรตั้งสัตย์ปฏิญานตนว่าจะไม่ก่อหนี้สินเพื่อซื้อสินค้าที่เสี่อมมูลค่าได้ง่ายดังกล่าวอีก ยกเว้นการก่อหนี้เพื่อซื้อสินทรัพย์ที่จะทวีมูลค่าเมื่อเวลาผ่านไป เช่น บ้าน หรือ คอนโดไว้อาศัยอยู่เองหรือเพื่อปล่อยเช่า แต่ควรที่จะได้ผลตอบแทนจากการเช่าไม่ต่ำกว่า 5-6% ถ้าอย่างนี้ ผมขอสนับสนุนเต็มที่ครับ เพราะว่าท่านจะประหยัดค่าเช่าบ้าน และไม่ว่าท่านจะจ่ายค่าเช่าไปกี่สิบปี ท่านก็ไม่มีวันที่จะได้เป็นเจ้าของ ในขณะที่ถ้าท่านผ่อนบ้านหรือคอนโดกับธนาคาร ภายใน 20-30ปี แล้วแต่ระยะเวลาที่ท่านกู้ ในที่สุดท่านก็จะได้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ชิ้นนั้น และราคาก็คงจะมีมูลค่ามากกว่าราคาที่ท่านซื้อไว้ กำไรทั้งได้อยู่อาศัยและมูลค่าที่สูงขึ้น

3). คำนวณรายได้ทั้งปี เพื่อที่จะซื้อกองทุน LTF และ RMF ซึ่งท่านสามารถที่จะซื้อได้ไม่เกินอย่างละ 15% ของรายได้ และไม่เกิน 500,000 บาท สำหรับแต่ละอย่าง ซึ่งกองทุนเหล่านี้ ท่านสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ยิ่งท่านที่มีฐานภาษีที่สูง ยิ่งประหยัดภาษีได้มาก จริงๆแล้ว วิธีซื้อกองทุนดังกล่าว ท่านควรจะซื้อแบบ Dollar Cost Average(DCA) ซึ่งหมายถึงการซื้อกองทุนเป็นจำนวนเงินเท่ากันในวันเดียวกันของทุกเดือน บางท่านชอบลงทุนโดยดูช่วงจังหวะ (Timing) ซึ่งผมคิดว่า โอกาสที่ท่านจะลงทุนได้ถูกจังหวะ ไม่ใช่เรื่องง่าย ผมเห็นเซียนหลายคน ตกม้าตายเรื่อง Timing มานักต่อนักแล้ว ปัจจุบันกองทุนมีบริการตัดบัญชีธนาคารรายเดือน วิธีนี้ช่วยให้ผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องดูว่าตลาดขึ้นหรือลง เท่ากับว่าท่านซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าวได้ในราคาเฉลี่ยที่ต่ำนั่นเอง ผลดีก็คือ ถ้าหุ้นขึ้น เราก็จะได้จำนวนหน่วยลงทุนน้อยลง ถ้าหุ้นลงเราก็จะได้จำนวนหน่วยลงทุนมากขึ้น และบลจ.ส่วนใหญ่มักจะมีโปรโมชั่นพร้อมกับของแถมให้กับผู้ลงทุนแบบนี้ด้วย หรือถ้ายอดถือครองกองทุนของบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนกองทุน (บลจ)ในสถาบันการเงินบางแห่งรวมแล้วมากกว่า 3-10 ล้านบาทขึ้นไป ท่านจะกลายเป็นลูกค้าอภิสิทธ์ จะได้รับ Non-Money benefit มากมาย เช่น ตรวจสุขภาพประจำปีฟรี ใช้บริการ Fitness หรือ ห้องรับรองฟรี ฯลฯ ปัจจุบันสถาบันการเงินต่างๆ มีผู้เชี่ยวชาญ พร้อมที่จะให้คำแนะนำแก่ท่านอยู่แล้ว

4). ซื้อประกันชีวิตที่มีระยะเวลาความคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป ซึ่งท่านสามารถนำเงินที่จ่ายค่าเบี้ย ไปลดหย่อนภาษีได้ถึง 100,000 บาท เลยทีเดียว

5).อย่าลืมนำเงินปันผลมาเครดิตภาษี และตรวจสอบดูว่าสามารถนำค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่นำมาลดหย่อนภาษีได้ เช่นดอกเบี้ยกู้ซื้อที่อยู่อาศัยตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท เงินบริจาคแก่สถานศึกษา ลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า เงินบริจาคแก่วัดวาอาราม มูลนิธิ ลดหย่อนภาษีได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 10% ของรายได้หลังหักลดหย่อนค่าใช้จ่ายอื่นๆแล้ว และค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร บิดามารดา คนพิการ เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดาของผู้มีเงินได้และคู่สมรส ซึ่งมีเงื่อนไขบางประการ ลองศึกษาดูจากคู่มือวิธีการกรอกแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมครับ

6). ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะท่านที่มีอายุ 40 ปี ขึ้นไปควรจะตรวจทุกๆ ปี และท่านที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไปควรจะตรวจปีละ 2 ครั้ง ทำให้เราทราบว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมา ลักษณะการใช้ชีวิตเราเป็นการส่งเสริมหรือทำลายสุขภาพของเราเอง ถ้าท่านมีกำลังทรัพย์มากหน่อย การตรวจดูว่าร่างกายท่านมีแร่ธาตุ วิตามิน ฮอร์โมนต่างๆ มากหรือน้อยเกินไป อะไรที่ขาดก็พยายามทานผักผลไม้ที่ให้แร่ธาตุ วิตามิน ที่ขาด หรืออาจทานอาหารเสริมตัวที่ขาด และลดหรือหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีแร่ธาตุ วิตามินตัวที่ร่างกายมีมากเกินไป และตรวจเสริมดูว่าร่างกายเราแพ้อาหารชนิดใด จะได้หลีกเลี่ยงอาหารประเภทนั้น มิฉะนั้นจะทำให้เกิดการอักเสบขึ้นภายในร่างกาย การเกิดขึ้นบ่อยๆ จะเป็นการสะสม ทำให้เกิดโรคร้ายแรงในภายหลังได้ ยึดหลักง่ายๆคือ รับประทานอย่างไรได้อย่างนั้น ควรรับประทานอาหารในปริมาณพอเหมาะ เลือกทานอาหารสดใหม่ได้โภชนาการ ทานผักผลไม้ให้ได้หลายสีสัน ทานปลาและเนื้อสัตว์ต่างๆ ลดการทานน้ําตาลและคาร์โบไฮเดรต การป้องกันดีกว่าการรักษา ต้นทุนของการป้องกันนั้นถูกกว่าค่ารักษาพยาบาลมาก ปัจจุบันค่ารักษาพยาบาลโดยเฉพาะในโรงพยาบาลเอกชนสูงมาก ดังนั้นการที่มีสุขภาพที่แข็งแรงทำให้ท่านประหยัดค่าใช้จ่ายด้านนี้ไปได้มาก ทำให้ท่านมีเงินเหลือที่จะไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนและเสริมความมั่นคงให้กับชีวิตของท่าน

หมายเหตุ บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในหนังสือ ”ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน”

กิติชัย เตชะงามเลิศ

เพียงคุณออมแบบผมทุกเดือนๆละ 8,333 บาทผ่านไป 30 ปีคุณจะกลายเป็นเศรษฐี 100 ล้าน รายละเอียดอยู่ในหนังสือ”ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน”

หัวใจของเนื้อหาในหนังสือ “ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน”คือ
•รายได้แค่เดือนละ 15,000 บาท คุณสามารถเป็นเจ้าของคอนโดหรูย่านสุขุมวิทได้!
•ออมเงินเพียงเดือนละหลักพัน ก็เป็นเศรษฐี 100 ล้าน ก่อนอายุ 50 ปี!
•Mindset เกี่ยวกับการออม, คุณค่าของเวลา, บัตรเครดิต-ดาบสองคม, ประเภทสินทรัพย์ที่ซื้อแล้วเพิ่มมูลค่าและสินทรัพย์ที่ซื้อแล้วเสื่อมมูลค่า
รายละเอียดอยู่ในหนังสือ”ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน”ซึ่งวางจำหน่ายตามร้าน หนังสือชั้นนำทั่วไป(ร้านนายอินทร์ ซีเอ็ด B2S คิโนะคุนิยะ)แล้วครับ

ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter     : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog         : http://kitichai1.blogspot.com และ http://money.sanook.com/kitichai/
You Tube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Google+  : https://www.google.com/+KitichaiTaechangamlert
Linkedin   : https://www.linkedin.com/in/homeproperty
Pinterest   : http://www.pinterest.com/kitichai/

หรือ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B8 ในคอลัมน์ “เขียนอย่างที่คิด by Gid” และหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจหน้า 15 เดือนละครั้ง ในคอลัมน์ “พินิจ พิเคราะห์”   นิตยสาร Condo Guide ทุกเดือน และ คนรวยหุัน,  Me(Market Evolution) ทุกไตรมาส

หาอสังหาทั้งถูกและดีเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ได้ที่  http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook