“จุดอิ่มตัวในความสัมพันธ์” เช็กได้จากสัญญาณแค่ 4 ข้อ!

“จุดอิ่มตัวในความสัมพันธ์” เช็กได้จากสัญญาณแค่ 4 ข้อ!

“จุดอิ่มตัวในความสัมพันธ์” เช็กได้จากสัญญาณแค่ 4 ข้อ!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“เมื่อแรกรักน้ำต้มผักยังว่าหวาน เมื่อจืดจางน้ำตาลยังว่าขม” บรรดาคนมีความรักทั้งหลายน่าจะเคยได้ยินคำกล่าวข้างต้นกันมาบ้าง แน่นอนว่าคู่รักที่ยังอยู่ในช่วงคลั่งรักกัน น้ำต้มผักก็ยังคงหวานสำหรับพวกเขา ในขณะที่อีกหลาย ๆ คู่ได้ลิ้มรสชาติ “น้ำตาลที่ขม” แล้วว่าเป็นอย่างไร

เอาเข้าจริง มันก็เป็นเรื่องปกติที่ว่า “รักได้ก็เลิกรักได้” โดยเฉพาะคู่รักที่คบกันมายาวนาน อาจเจอกับปรากฏการณ์ที่รักกันอยู่ดี ๆ ก็กลายเป็นเบื่อกันเสียอย่างนั้น หรือที่หลาย ๆ คนเรียกว่า “ความรักถึงจุดอิ่มตัว” เป็นระยะที่เริ่มสับสนในความสัมพันธ์ ในใจลังเลว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ ซึ่งจริง ๆ แล้วก่อนที่อาการจะหนักจนถึงขั้นคิดว่าจะเลิกดีหรือไม่นั้น มันมักจะมีสัญญาณเตือนบางอย่างเกิดขึ้น แต่เพราะมันเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ เราจึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความรู้สึกนี้ เรื่อย ๆ จนมันหนักเกินเยียวยา รู้ตัวอีกทีก็ประคับประคองไม่อยู่แล้ว

ทีนี้ลองมาเช็กความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคนรักดูหน่อยดีกว่ามีสัญญาณเตือนอะไรบ้างที่ส่อเค้าว่ารักดี ๆ กำลังจะกลายเป็นความเบื่อ และเตรียมเข้าสู่ช่วงอิ่มตัว ไม่ต้องถามอะไรตัวเองมาก แค่ 4 ข้อนี้ก็พอ

1. รู้ตัวเองว่าความรู้สึกที่มีให้อีกฝ่ายไม่เหมือนเดิม
ลองนึกย้อนไปเมื่อนานมาแล้ว ยังจำความรู้สึกตอนที่รักกันใหม่ ๆ ได้ไหมว่าเป็นอย่างไร ลองเอามาเทียบกับตอนนี้ดูสิ ถ้าเห็นความต่างชัดเจนก็ใช่เลย จริงอยู่ที่ว่าคู่รักที่คบกันมานาน ๆ ความตื่นเต้นบางอย่างในความสัมพันธ์มันย่อมลดลงไปบ้าง แต่จะไม่ถึงขั้นหายไปจนถึงขนาดที่รู้ตัวเองว่ามันไม่เหมือนเดิม อาทิ ความตื่นเต้น ความกระตือรือร้น ความโหยหา ความรัก และที่แย่ไปกว่านั้นคือความสำคัญ คนที่เคยสำคัญสำหรับเรากลายเป็นคนที่ไม่มีก็อยู่ได้ คนที่เคยอยากเจอ อยากอยู่ด้วยกัน กลายเป็นคนที่เราปฏิเสธ แล้วอยากอยู่คนเดียวหรืออยู่กับคนอื่นมากกว่า

2. เริ่มมีสิ่งอื่นที่เข้ามาแทนที่ความสุขนั้น
ก็เพราะในใจเรานั้นลดระดับความสำคัญของคนรักลงมาแล้ว พื้นที่ส่วนใหญ่ที่อีกฝ่ายเคยครอบครองจึงเริ่มมีสิ่งอื่น ๆ เข้ามาแทนที่ โดยที่เราเองเป็นคนเคลียร์พื้นที่นั้นเอง ซึ่งในที่นี้สิ่งที่เข้ามาแทนที่นั้นสามารถเป็นอะไรก็ได้ อาจจะเป็นงาน เพื่อน ครอบครัว หรือแม้กระทั่งตัวเอง (ไม่ได้แปลว่าเรามีคนใหม่แล้วเสมอไปนะ) กลายเป็นว่าเราให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านั้นมากกว่าคนรักทั้งที่แต่ก่อนแทบขาดกันไม่ได้ด้วยซ้ำ หายไปก็ไม่ตามหา ไม่เจอก็ไม่คิดถึง ไม่รู้สึกโหยหาแต่อย่างใด หรือสนใจเรื่องของตัวเองมากขึ้น เพราะรู้สึกว่าอยู่กับตัวเองหรือทำอะไรอย่างอื่นมันมีความสุขกว่า

3. พร้อมที่จะเปิดศึกกันทุกเมื่อ
ความรักมักมาพร้อมกับปัญหาเสมอ นั่นเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคู่รักทุกคู่จะมีปัญหาเดิม ๆ ที่ไม่เคยแก้ไขกันจริงจัง เวลาดีกันก็ซุกไว้ใต้พรม แต่เวลาทะเลาะกันก็เริ่มขุดเอามาทำร้ายกันอยู่เสมอ ๆ ปัญหานั้นก็เลยกลายเป็นระเบิดเวลาที่พร้อมทำงาน ยิ่งพอมาเจอกับช่วงที่เริ่มสับสนว่าจะอยู่หรือจะไป อะไรที่เคยทำแล้วถูก อยู่ดี ๆ ก็ผิดกันไปทุกเรื่อง เรื่องเล็กก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ หรือมีอะไรที่ขุ่นข้องหมองใจกันนิดหน่อย มันก็กลายเป็นประเด็นให้เก็บมาคิดเล็กคิดน้อย พร้อมเปิดศึกทะเลาะกัน มิหนำซ้ำยังเป็นการทะเลาะกันที่ไม่ค่อยอยากจะปรับความเข้าใจกันด้วย

4. ไม่ค่อยอยากที่จะสื่อสารกัน
ตอนที่รักกันดี ๆ ถ้าหายใจเข้าแล้วคิดถึง หายใจออกก็จะโทรหรือแชตหา คุยกันจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่หลัง ๆ มา ตั้งแต่ไม่ค่อยคิดถึงกัน การพูดคุยที่เคยใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนก็หายไปด้วย เริ่มไม่คุยกัน คุยกันน้อยลง ยิ่งถ้าทะเลาะกัน หลังจากสาดถ้อยคำทำร้ายกันแล้ว ก็ไม่คิดจะคุยปรับความเข้าใจ รู้สึกไม่อยากพูด เหนื่อย รำคาญ ช่างมัน ซึ่งลักษณะอาการมันจะต่างจากคนที่งอนหรือโกรธกันอยู่ คือไม่ได้งอน หายโกรธแล้ว แต่ไม่อยากคุย ไม่อยากเห็นหน้า และมักจะเลี่ยงการเจอหน้ากัน ห่างเหินกันเรื่อย ๆ ความรักก็จางลงเช่นกัน แบบนี้มีแค่รอวันเลิกเท่านั้น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook