พื้นที่นี้มีเจ้าของ มารู้จัก ‘เข็มขัดพรหมจรรย์’ อุปกรณ์ป้องกันการนอกใจในยุคโบราณ
ทุกวันนี้ หากอยากรู้ว่าแฟนของเราอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร สมาร์ตโฟนในมือสามารถส่งโลเคชั่น หรือส่งรูปให้กัน เพื่อเพิ่มความไว้เนื้อเชื่อใจได้ แต่สมัยก่อนล่ะ ที่เรายังไม่มีเทคโนโลยีการสื่อสารที่คล่องตัวขนาดนี้ หากต้องออกไปไหนไกลๆ จากกันไปหลายวัน เราจะแน่ใจได้อย่างไรกันว่าจะไม่มีใครหน้าไหนมาลอบตีท้ายครัว เราเลยได้เห็นอุปกรณ์หน้าตาคุ้นเคยอย่าง ‘เข็มขัดพรหมจรรย์’ รูปทรงเดียวกับชุดชั้นใน แต่มันกลับไม่ได้ทำมาจากผ้าที่สวมใส่สบาย มันกลับทำจากโลหะ
ก่อนจะไปทำความรู้จักสิ่งนี้ อยากให้เข้าใจบริบทในสังคมสมัยนั้น ว่าอาจยังไม่ได้มีความก้าวหน้าจากทั้งเทคโนโลยีและความก้าวหน้าทางความคิดเท่าสมัยนี้ เจออะไรไม่เข้าทีก็อย่าเพิ่งเอาไว้บรรทัดของยุคนี้ไปทาบให้ตรงดั่งใจ เพราะสมัยก่อนนั้น สาวๆ ในหลายประเทศ หลายวัฒนธรรม มักจะไม่ได้เจอชายหนุ่มกันง่ายๆ โดยเฉพาะสาวที่ยังไม่แต่งงานเนี่ย จะมาพบปะหนุ่มๆ เป็นการส่วนตัวก็ดูไม่งาม ออกไปแฮงก์เอาต์เหมือนหนุ่มๆ ก็ไม่ได้ สิ่งที่ทำในแต่ละวันล้วนเป็นการอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน หรือแม้แต่หญิงสาวที่แต่งงานแล้วก็ตาม จะไปพบชายอื่นนอกจากสามีเพียงลำพัง ก็ดูไม่งามเช่นกัน
การพบเจอกันระหว่างชายหญิงจึงเป็นเรื่องยาก หากชายไม่ใช่สามีที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือตามประเพณีแล้ว ก็ไม่รู้จะหาโอกาสไหนเจอกันได้ แม้บริบทสังคมในตอนนั้น จะชวนให้สาวๆ รู้สึกถูกจำกัดขอบเขตการใช้ชีวิตมากอยู่แล้ว แต่ที่มากไปกว่านั้น พวกเธอโดนจำกัดแม้แต่พื้นที่ส่วนตัว ใช่แล้ว อวัยวะเพศนั่นแหละ ด้วยอุปกรณที่เรียกว่า ‘เข็มขัดพรหมจรรย์’ เจ้าอุปกรณ์ชิ้นนี้ หน้าตาเหมือนกางเกงในที่เราเข้าใจในยุคปัจจุบันไม่มีผิด แต่มันกลับทำมาจากโลหะ โอบรัดเอวเอาไว้ แต่ปกปิดนาผืนน้อยอย่างมิดชิด มีแค่ช่องเล็กๆ ให้ทำธุระส่วนตัวเท่านั้น และที่สำคัญ เข็มขัดนี้มีแม่กุณแจล็อกอยู่ หากจะปลดมันออก ต้องใช้ลูกกุญแจเท่านั้น ไม่สามารถเปิดด้วยวิธีอื่นได้เลย
ถามว่าเข็มขัดนี้มีไว้ทำไม? ในสมัยก่อน ยามที่ต้องห่างไกลกัน เราไม่สามารถส่งข้อความถามได้ว่าภรรยาของเรากำลังทำอะไรอยู่ มีชายใดมาเกี้ยวพาราสีบ้างหรือเปล่า เข็มขัดพรหมจรรย์จึงมาเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้สามีมั่นใจว่า ภรรยาของเขาจะไม่สามารถแอบไปร่วมเพศกับชายใดอย่างลับๆ ได้ รวมถึงไม่สามารถถูกบังคับขืนใจให้ร่วมเพศจากคนที่บุกเข้ามาเพราะรู้ว่าเธออยู่เพียงลำพังด้วย หน้าที่ของมันจึงเหมือนรักษาพื้นที่ส่วนนั้นไว้ให้สามีเพียงผู้เดียว เพราะสามีจะเป็นผู้ถือกุญแจที่ล็อกเข็มขัดนั้นอยู่ และกุญแจนั้นมีเพียงดอกเดียวเท่านั้น
แม้จะบอกว่าสามีมีอยู่ดอกเดียว แต่ภาพนี้จาก British Museum ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า สามีน่ะมีกุญแจดอกเดียวจริงๆ แต่ภรรยาเองน่าจะมีสำรองไว้หลายดอก จึงมีหนุ่มๆ มาถือกุญแจยืนรอในเงามืด โดยภาพนี้ถูกระบุว่าพิมพ์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 แต่งานวิจัยในหัวข้อ ‘Male fear’ ของ Albrecht Classen ศาสตราจารย์ด้านเยอรมันศึกษา จาก University of Arizona พูดถึงเจ้าเข็มขัดนี้ว่า ในช่วงศตวรรษที่ 15 นั้น เข็มขัดนี้ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายอย่างที่คิด ในฐานะอุปกรณ์ป้องกันการมีเซ็กซ์ แต่เป็นช่วงหลังจากนั้นต่างหาก ที่ผู้คนเริ่มรู้จักและใช้อุปกรณ์นี้
แม้มันจะเกิดขึ้นในช่วงหลายร้อยปีก่อน แต่มันกลับไม่ได้แพร่หลายในยุคนั้นอย่างที่คิด เพราะมันช่างมีหลักฐานที่เกี่ยวกับเข็มขัดนี้ไม่มากเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังพอมีวัตถุเป็นชิ้นเป็นอันให้เราได้เห็นในพิพิธภัณฑ์บ้าง เลยอาจอนุมานได้ว่ามันมีอยู่จริงๆ นั่นแหละ แต่ว่าคงไม่เป็นที่นิยมขนาดนั้น อาจด้วยการจำกัดเสรีภาพที่มากเกินไป รวมไปถึงความไม่สบายตัวจากการสวมใส่ ที่คงไม่มีใครอยากจะสวมมันไว้บ่อยนักหรอก
แต่สิ่งนี้มันกลับมาบูมในช่วงศตวรรษที่ 19 ที่ผู้คนเริ่มรู้จักเข็มขัด จนกลายเป็นแฟชั่นที่แม้แต่แม่ชีก็ยังนิยมสวมไว้ เพื่อบ่งบอกว่ายังบริสุทธิ์ผุดผ่อง รวมถึงผู้คนทั่วไปที่ถูกอกถูกใจในความแฟนตาซีของมัน มากกว่าจะใช้มันในเชิงกดขี่ทางเพศอย่างแต่ก่อนแล้ว มันจึงเป็นอุปกรณ์ที่เป็นภาพแทนของความแฟนตาซี อย่างการใช้ในกิจกรรมทางเพศของผู้มีรสนิยมแบบ BDSM แทนการนำมาใช้เพื่อล็อกพื้นที่หวงห้ามกันในชีวิตจริง