“นักบิดโมโตจีพี” ต้องฟิตแค่ไหนกันเชียว

“นักบิดโมโตจีพี” ต้องฟิตแค่ไหนกันเชียว

“นักบิดโมโตจีพี” ต้องฟิตแค่ไหนกันเชียว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ก่อนที่ประเทศไทย จะทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโมโตจีพี ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ช่วงเดือนตุลาคมนี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่าเหล่าบรรดานักบิดระดับโลกที่เข้าร่วมแข่งขัน ทำไมถึงต้องเข้ายิมจริงจังขนาดนั้น พวกเขาต้องฟิตแค่ไหนกันเชียว Tonkit360 มีคำตอบมาฝากกัน

เห็นตัวเล็กๆ แต่หุ่นสุดเฟิร์ม
นักบิดโมโตจีพีระดับหัวแถวของโลก หากมองภายนอกอาจดูเหมือนผู้ชายตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เพราะส่วนใหญ่จะมีความสูงไม่เกิน 170 เซนติเมตร ยกตัวอย่าง มาร์ก มาร์เกซ แชมป์โลกคนปัจจุบันจากทีมเรปโซลฮอนด้า สูงเพียง 168 เซนติเมตร แต่เมื่อใดที่นักบิดสแปนิชรายนี้ ถอดเสื้อโชว์หุ่นขึ้นมาละก็ บอกเลยว่าสาวน้อยสาวใหญ่มีหวั่นไหวไปตามๆ กัน

มาร์เกซบอกว่า ตัวเขาเองและนักบิดในโมโตจีพี ทุกคนล้วนต้องมีเทรนเนอร์ส่วนตัว และที่ขาดไม่ได้คือวินัยในการออกกำลังกาย การเข้ายิมถือเป็นสิ่งจำเป็นมากๆ ทั้งการคาดิโอโดยการวิ่ง หรือ ปั่นจักรยาน รวมถึงการสร้างกล้ามเนื้อในส่วนที่จำเป็น รวมถึงการฝึกการทรงตัวซึ่งต้องใช้ยามขึ้นไปขี่อยู่บนรถที่มีแรงม้าทะลุ 200 ตัว และท็อปสปีดแตะหลัก 330 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

รถโมโตจีพีหนักกว่าน้ำหนักตัวของนักบิดกว่า 2 เท่า
น้ำหนักของรถแข่งโมโตจีพี เครื่องยนต์ 1,000 ซีซี นั้นจะอยู่ราว 160 กิโลกรัม นั่นหมายความว่า นักบิดแต่ละคนที่น้ำหนักเฉลี่ยอยู่ราว 65 กิโลกรัม จะต้องควบคุมรถที่หนักกว่าตัวเองถึง 2 เท่า ไปให้ตลอดรอดฝั่งของการแข่งขันในระยะทางราว 100 กิโลเมตร ฉะนั้นกล้ามเนื้อส่วนที่สำคัญที่สุดในการเทรนนิ่งของเหล่านักบิดเหล่านี้คือ ส่วนของ แขน ไหล่ รวมถึงกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว

สูง-หนัก เท่าไหร่ถึงจะดี
เรื่องส่วนสูงและน้ำหนัก กลายเป็นที่ประเด็นที่น่าสนใจสำหรับนักบิดในระดับโมโตจีพี เพราะหากสูงและหนักเกินไป ย่อมมีผลต่อความเร็วในสนามที่เฉือนกันที่เศษเสี้ยวของวินาที ซึ่งครั้งหนึ่ง “เดอะ ด็อกเตอร์” วาเลนติโน รอสซี่ ยอดนักบิดชาวอิตาเลียนจากทีมโรงงานยามาฮ่า เคยออกมายอมรับว่าจริงๆ แล้วตนเองอาจสูงเกินไปด้วยซ้ำกับการเป็นนักบิดระดับโมโตจีพี

รอสซี่ ที่สูงถึง 182 เซนติเมตร แต่หนัก 65 กิโลกรัม เคยให้สัมภาษณ์ว่า “จริงๆ แล้ว 182 ดูจะสูงเกินไปกับกีฬาชนิดนี้ แต่ยังโชคดีที่ตนเองหนักเพียง 65 กิโลกรัม ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุด คือคุณห้ามอ้วนเป็นอันขาด เพราะน้ำหนักตัวที่ต่างกัน 5 กิโลกรัม มันจะทำให้คุณเสียเวลาไปถึง 0.10 วินาทีต่อรอบ ซึ่งถือว่าเสียหายกับการแข่งขันในระดับนี้”

ทั้งนี้ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือนักบิดร่างจิ๋วอย่าง ดานี่ เปโดรซ่า จากค่ายเรปโซลฮอนด้า ที่สูงเพียง 160 เซนติเมตร และหนักเพียง 51 กิโลกรัม ในวันแข่งขันเขามักจะออกสตาร์ท และแซงคู่แข่งได้หลายอันดับ แทบจะทุกครั้งเนื่องจากเป็นนักบิดที่ตัวเล็กและน้ำหนักเบาที่สุดในกริดสตาร์ท

กินอาหารถูกหลักโภชนาการ
การขึ้นมาเป็นนักบิดระดับโลก ห้ามตามใจปากเป็นอันขาด เพราะอย่าลืมอย่างที่รอสซี่บอกว่าคุณ ห้ามอ้วน! ฉะนั้น การเลือกรับประทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับสุขภาพและความพร้อมของนักแข่งทุกคน โดยเฉพาะการควบคุมอาหารตามที่นักโภชนาการ และเทรนเนอร์วางโปรแกรมเอาไว้ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเน้นอาหารประเภทปลา ที่ให้โปรตีนสูง และย่อยง่าย ส่วนพวกเนื้อสัตว์สีแดง อย่าง หมู หรือวัว นั้น กินได้แต่ต้องนานๆ ทีเท่านั้น และที่ขาดไม่ได้ คือพวกผักและผลไม้ เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินแร่ธาตุ ให้เพียงพอต่อเหงื่อที่เสียไปในการแข่งขันแต่ละเรซ

ลงแข่ง 1 เรซ เสียน้ำไป 2 ลิตร!
ในการลงแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งจะตรงกับช่วงเวลาบ่ายสองโมง ตามเวลาท้องถิ่นของแต่ละประเทศ แน่นอนว่าหากเป็นช่วงเวลาปกติแดดเปรี้ยง โดยเฉพาะหากมาแข่งในแถบอาเซียน อย่าง เซปัง ประเทศมาเลเซีย และสนามบุรีรัมย์ ประเทศไทย ข้อมูลจากเว็บไซต์โมโตจีพี ดอท คอมระบุว่า นักแข่งจะสูญเสียน้ำในร่างกายในช่วงแข่งขันถึง 2 ลิตรภายในเวลาเพียง 45 นาที นั่นหมายความว่านักแข่งจะต้องต่อสู้กับสภาพอากาศที่ร้อน รวมถึงระมัดระวังกับภาวะขาดน้ำ (Dehydration) ที่อาจทำให้จนอวัยวะต่างๆ ไม่สามารถทำงานตามปกติได้อีกด้วย

สุดท้ายจิตใจต้องแข็งแกร่งด้วยเช่นกัน
เมื่อกายพร้อม ใจก็ต้องพร้อมเช่นเดียวกัน เพราะนี่คือกีฬาที่เสี่ยงอันตรายมากที่สุดในโลก จิตใจของนักบิดทุกคนจะต้องแข็งแกร่งมากๆ เริ่มตั้งแต่ช่วงเวลาทำสมาธิเพื่อรอสัญญาณไฟในการออกสตาร์ท รวมถึงความกดดันที่ถาโฉมเข้ามาใส่ขณะขี่แข่งขัน การตัดสินใจในช่วงเวลาเสี้ยววินาที่ในการแซงคู่แข่ง ทั้งหมดนี้คืออีกหนึ่งปัจจัยในสนามแข่งโมโตจีพี

มาร์ก มาร์เกซ เคยให้สัมภาษณ์พูดถึงการควบคุมการหายใจในช่วงแข่งขันว่า ถ้าร่างกายฟิตเต็มร้อย ก็จะง่ายขึ้นต่อการควบคุมจังหวะการหายใจในการขี่แต่ละโค้ง นอกจากนี้เรื่องของ อัตราการเต้นของหัวใจมาร์เกซบอกว่าเป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจเช่นกัน โดยในช่วงเรซปกติ heart rate ของเขา จะอยู่ที่ 165 ถึง 175 ครั้งต่อนาที และเคยขึ้นไปสูงสุดถึง 200 ครั้งต่อนาที มาแล้ว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook