โรคตุ่มน้ำพอง หรือ โรคเพมฟิกอยด์ สาเหตุของโรค และวิธีรักษา

“โรคเพมฟิกอยด์ หรือ โรคตุ่มน้ำพอง” คืออะไร สาเหตุของโรค และวิธีรักษา

“โรคเพมฟิกอยด์ หรือ โรคตุ่มน้ำพอง” คืออะไร สาเหตุของโรค และวิธีรักษา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

โรคเพมฟิกอยด์ (Bullous pemphigoid) หรือ โรคตุ่มน้ำพองใส ไม่ใช่โรคติดต่อ สามารถสัมผัสและอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยได้ตามปกติ แต่ต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาอย่างต่อเนื่อง มีโอกาสหายได้

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า จากกรณีการเสนอข่าว นักแสดงชื่อดัง วินัย ไกรบุตร ป่วยเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง มีอาการแสบ ร้อน คันไปทั่ว ตุ่มขึ้นทุกที่ทั่วร่างกาย แม้กระทั่งในปาก ทำให้ทานอะไรแทบไม่ได้ จากข้อมูลดังกล่าวพบว่า ผู้ป่วยมีอาการของโรคในกลุ่มตุ่มน้ำพองคือ เพมฟิกอยด์ (Bullous pemphigoid) 

>> "วินัย ไกรบุตร" เผยเรื่องราวหลังป่วยเป็นโรคตุ่มน้ำพอง พบ 1 ใน 4 แสนคน

>> "วินัย ไกรบุตร" อัปเดตการรักษาโรคตุ่มน้ำพอง "หนุ่ม คงกะพัน" อวยพรวันเกิดซึ้ง


โรคเพมฟิกอยด์ หรือ โรคตุ่มน้ำพอง คืออะไร?

โรคเพมฟิกอยด์ เป็นโรคในกลุ่ม ตุ่มน้ำพองทางผิวหนังที่พบบ่อยและมีอาการคล้ายคลึงกับโรคเพมฟิกัส ที่เกิดจากความผิดปกติในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดการทำลายโปรตีนที่ยึดผิวหนังในชั้นหนังกำพร้า และหนังแท้ไว้ด้วยกัน  ผิวหนังจึงแยกตัวจากกันโดยง่าย เกิดเป็นตุ่มพองตามร่างกาย


โรคเพมฟิกอยด์ หรือ โรคตุ่มน้ำพอง มีอาการอย่างไร?

แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวว่า ลักษณะเด่นของโรคนี้ ที่ต่างจากเพมฟิกัส คือ

  1. ตุ่มพองจะเต่งตึงแตกได้ยาก เนื่องจากการแยกตัวของผิวอยู่ในตำแหน่งที่ลึกกว่าเพมฟิกัส

  2. มักพบตุ่มน้ำพองมากในตำแหน่งท้องส่วนล่าง แขนขาด้านใน บริเวณข้อพับ และส่วนน้อยที่จะมีแผลในปาก

สามารถพบโรคเพมฟิกอยด์ได้บ่อยในคนสูงอายุ ทั้งสองโรคนี้แยกกันได้จากอาการ และการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจเพิ่มเติม


วิธีรักษาโรคเพมฟิกอยด์ หรือ โรคตุ่มน้ำพอง

ยาที่ใช้รักษาหลัก คือ ยาทาสเตียรอยด์ จะใช้เป็นการรักษาหลักในผู้ป่วยที่มีตุ่มน้ำเฉพาะที่ กรณีที่ตุ่มน้ำกระจายทั่ว ร่างกาย การรักษาด้วยยาสเตียรอยด์ชนิดรับประทาน หรือร่วมกับยากดภูมิต้านทาน จะช่วยควบคุมโรคได้ โดยหากเปรียบเทียบกับโรคเพมฟิกัสแล้ว โรคเพมฟิกอยด์จะใช้ยากดภูมิในขนาดที่น้อยกว่า และตอบสนองต่อการรักษาได้ดีกว่าเพมฟิกัส ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ อาจจะมีตุ่มน้ำขึ้นเป็นๆหายๆ ในระยะเวลา 2-3 ปี และสามารถหายเป็นปกติได้ และในปัจจุบันมีการรักษาด้วยยาฉีดที่ออกฤทธิ์โดยตรงต่อภูมิต้านทานที่ทำงานผิดปกติ ซึ่งพบว่าสามารถควบคุมโรคได้ดี มีผลข้างเคียงน้อยกว่ายากดภูมิต้านทานชนิดรับประทาน

คำแนะนำในการปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคเพมฟิกอยด์

  1. ควรทำความสะอาดร่างกายอย่างสม่ำเสมอ บริเวณที่เป็นแผลให้ใช้น้ำเกลือทำความสะอาด ใช้แปรงขนอ่อนทำความสะอาดลิ้น และฟัน

  2. ไม่แกะเกาผื่น เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ

  3. ผู้ป่วยที่มีแผลในปาก ควรงดอาหารรสจัด งดรับประทานอาหารแข็ง เช่น ถั่ว ของขบเคี้ยว เนื่องจากอาจกระตุ้นการหลุดลอกของเยื่อบุในช่องปาก

  4. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ

  5. ไม่ควรใส่เสื้อผ้ารัดคับ เพื่อลดการถลอกที่ผิวหนัง

  6. หลีกเลี่ยงแสงแดด และความเครียด ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญ

  7. เข้ารับการรักษาต่อเนื่อง มาตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ

  8. ทานยาต่อเนื่อง อย่าลดหรือเพิ่มยาเอง  

หากดูแลสุขภาพ และแผลอย่างถูกวิธี จะช่วยให้โรคสงบได้เร็วขึ้น ทำให้ผู้ป่วยสามารถดำรงชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป ไม่มีรอยโรคใหม่เกิดขึ้น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook