The Spirit of Ecstacy โศกนาฏกรรมความรักฉบับโรลซรอยส์

The Spirit of Ecstacy โศกนาฏกรรมความรักฉบับโรลซรอยส์

The Spirit of Ecstacy โศกนาฏกรรมความรักฉบับโรลซรอยส์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ทุกวันนี้ที่เทรนด์เกาหลีมาแรงแซงแบบแหกโค้งจนไม่ว่าใครต่างสนใจชาติกิมจิมากขึ้น ซีรี่ย์หนังรักหวานๆ ซึ้งๆ โรแมนติค จนพาคนหลายคนติดงอมแงม บ้างก็อยู่ดีไม่ว่าดีทะเลาะกับคนรักเล่น เพราะเห็นว่าหนังทำได้แล้วทำไมเธอทำไม่ได้ คิดแล้วก็น่าเวียนหัวแท้

แน่นอนหนังก็คือการแสดงอย่างหนึ่งที่มันต่างจากชีวิตจริงยิ่งนัก แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า รูปปั้นหน้ารถหรูระดับชั้นนำของโลกมูลค่าหลาย 10 ล้านนั้น แท้ที่จริงแล้ว นอกจากสวยงาม และความหรูหราแล้ว นี่เป็นตัวแทนแห่งเรื่องราวความรักที่แฝงอยู่เบื้องหลังแห่งความสำเร้จของรถยนต์สุดหรูเจ้านี้ด้วย

รูปปั้นที่ชื่อ The Spirit of Ecstacy นี้เป็นดังตัวแทนเรื่องราว ที่ยืนยันว่านี่เป็นเรื่องจริง กับรูปปั้นของหญิงสาวที่มีท่าทางคล้านจะโบยบิน ซึ่งรูปปั้นนี้ถูกออกแบบและใช้มาอย่างยาวนาน โดย ชาร์ลส์ โรบินสัน ซีคส์ หรือที่บางคนก็เรียกรูปปั้นที่ว่านี่ว่า Emily,Silver Lady และ Flying Lady

ความสวยงามพริ้วไหวนี้ นับเป็นตัวแทนเรื่องราวความรักระหว่าง เอลีนอร์ เวอลาสโก ธอร์นตัน กับจอห์น วอลเตอร์ เอ็ดเวิรด สก๊อต-มองตากิว ซึ่งเป็นลอร์ดมองตากิว คนที่ 2 ในปี 1905 และยังเป็นผู้บุกเบิกวงการอุตสาหกรรมรถยนตืในประเทศอังกฤษ ควบคู่กับการเป็นบรรณาธิการนิตยสารรถยนต์ Car Illustrated Magazine

ด้วยความมีชื่อเสียงและสนใจเรื่องรถ ตลอดจนผลักดันให้คนอังกฤษยอมรับสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่เรียกว่ารถยนต์ ทำให้ จอห์นเองผันตัวเอง เข้าสู่สมาคมยานยนต์ ที่ซึ่งเอลีนอร์ ทำงานเป็นเลขาให้กับ คล็อด จอห์นสัน ก่อนที่ภายหลังจอห์นจะเข้ามาทำงานในสมาคม และเอลีนอร์เองก็ย้ายมาเป็นเลขาให้จนทั้งคู่ตกหลุมรักกัน และเป็นความผูกพันธ์ที่เกินกว่าเจ้านายผู้สูงศักดิ์กับลูกน้อง

ความรักของเอ็ดเวิร์ดและเอลินอร์ถูกปกปิดเป็นความลับ และรู้กันในหมู่เฉพาะเพื่อนสนิทเท่านั้น จวบจนกระทั่งครอบครัวของเอ็ดเวิร์ดบีบบังคับให้แต่งงานกับ Lady Cecil Victoria Constance ทำให้เอลีนอร์กับเอ็ดเวิร์ดต้องห่างเหินกัน แต่กระนั้นการแต่งงานดังกล่าวก็เป็นเพียงเพื่อหน้าตาในสังคม ที่สุดท้ายความสัมพันธ์ของทั้งสองก้ยังดำเนินอย่างลับๆ

สำหรับจุดกำเนิดของรูปปั้น the Spirit of Ecstacy นั้น เริ่มขึ้นเมื่อ จอนห์ เอ็ดเวิร์ด ได้ขอร้องให้โรบินสันช่วยออกแบบรูปปั้น สำหรับติดตั้งที่หน้ารถโรสรอยซ์ ซิลเวอร์ โกสต์ ของเขา และด้วยความทีโรบินสันรู้ว่าเอลีนอร์คือคนสำคัญของเอ็ดเวิร์ด เช่นเดียวกับความชื่นชอบของเอ็ดเวิร์ดที่มีต่อรถ จึงทำให้เขาเลือกเอลีนอร์มาเป็นแบบ โดยในครั้งแรกรูปปั้นถูกทำขึ้นมาเป็นรูป ผู้หญิงปิดปาก ที่เป็นนัยยะของความลับของทั้งคู่

รูปปั้นดังกล่าวถูกเรียกว่า The Whisper และมีเพียงชิ้นเดียวคือบนรถของจอนห์น วอลเตอร์ เอ็ดเวิร์ด เนื่องจากในช่วงแรกของโรลซรอยส์นั้นไม่ต้องการให้มีอะไรเกะกะและใช้เพียงตราสัญลักษณ์ปิดประทับข้างหน้าเท่านั้น

เวลาล่วงเลยจนช่วงปี 1910 คล๊อด จอห์นสัน กรรมการผู้จัดการของ โรลซรอยส์ มอเตอร์ เห็นว่าบริษัทจำเป็นต้องมีมาสค๊อทให้คนจดจำ จึงได้ว่างจ้างโรบินสันให้ทำการสร้างผลงานขึ้นมา โดยทีแรกจอห์นสันเลือกเอาเทพ Nike จากตำนานกรีมาเป็นสัญลักษณ์ แต่โรบินสันปฏิเสธ แล้วเลือกเอาเอลีนอร์มาเป็นแบบ โดยทำการแก้ไข The Whisper จากรูปเดิมมาเป็นรูปปัจจุบัน ก่อนส่งมอบในชื่อ The Spirit ofspeed เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1911 และภายหลังถูกเปลี่ยนมาเป็น The Spirit of Ecstacy และใช้มาจนถึงทุกวันนี้

สำหรับเรื่องรักระหว่างเอ็ดเวิร์ดและเอลีนอร์ ทุกอย่างจบลงด้วยเรื่องน่าเศร้า เพราะเรือ SS Persia ที่เอ็ดเวิร์ดและเอลินอร์ โดยสารกลับมาจากอินเดียนั้น ถูกเรือน้ำโจมตี ก่อนจมลงในที่สุดแถวเกาะครีต เอ็ดเวิร์ดรอดตายพร้อมกับพยานรักลูกสาวของเขา แต่เอลินอร์เสียชีวิตในเหตุครั้งนั้น ซึ่งเอ็ดเวิร์ดก็เลี้ยงดูลูกสาวของเข้ามาในฐานะลุง

 

Sanook! Auto Comment

เป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนจริงๆ และช่างน่าเศร้าไปพร้อม บางครั้งเราก็ไม่น่าเชื่อว่า สัญลักษณ์บางอย่างจะซ่อนความหมายของเรื่องที่ซับซ้อนและลึกซึ้งจนเกินเข้าใจ

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook