“หนุ่ย” นันทกานต์ ฤทธิวงศ์” กับ “มะเร็ง” และความมหัศจรรย์แห่งชีวิต

“หนุ่ย” นันทกานต์ ฤทธิวงศ์” กับ “มะเร็ง” และความมหัศจรรย์แห่งชีวิต

“หนุ่ย” นันทกานต์ ฤทธิวงศ์” กับ “มะเร็ง” และความมหัศจรรย์แห่งชีวิต
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ความเป็นที่รู้จักของนักร้องสาว หนุ่ย-นันทกานต์ ฤทธิวงศ์ มิใช่เพียงคุณภาพเสียง ความสามารถในการแต่งเพลง หรือเพลงประกอบละครดัง หากแต่ย้อนกลับไปเมื่อ 12 ปีก่อน ข่าวที่ทำให้ทุกคนช็อคไปพร้อมๆ กับเธอคือ “อาการป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะที่ 2” จากที่เคยคิดว่ามะเร็งเป็นเรื่องไกลตัว มะเร็งคงไม่ใจร้ายเลือกเธอเป็นที่พักอาศัย แม้วันนี้เธอจะหายจากมะเร็งร้ายอย่างสิ้นเชิง แต่ระหว่างการรักษามะเร็งด้วยการให้คีโม 6 ครั้ง และฉายแสงอีก 20 ครั้ง กลับทำให้เธอรู้ซึ้งและนึกขอบคุณ “มะเร็ง” อยู่ในใจ เพราะ “มะเร็ง” ทำให้เธอรู้จัก “ความมหัศจรรย์ของชีวิต” แบบที่ไม่เคยคิดมาก่อน วันนี้ Sanook! Women จึงอยากพาทุกคนเดินทางไปสู่ต้นตอของความมหัศจรรย์ร่วมกันกับเธอ

ตอนที่คุณรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

เป็นใครก็ช็อค ตกใจ เสียใจ ร้องไห้ แต่เป็นอยู่วันเดียว ตั้งหลักเลยว่าต้อง Go on ป้ายต่อไปคืออะไร มันเหมือนผู้โดยสาร ขึ้นรถมาแล้ว ลงก็ไม่ถึง โดดก็ตาย ยังไงต้องไปต่อ เลยถามหมอว่าจะเอายังไงต่อ ทำยังไงต่อ ถามหมอว่าเอายังไงต่อ ขั้นแรกคือรักษา แล้วป้ายแรกของการรักษาคืออะไร ตรวจทุกอย่าง ป้ายสองคือให้คีโม ป้ายสามคือฉายแสง เป็นขั้นตอน

ผู้ป่วยมะเร็งบางคนจมอยู่กับความเศร้า ทำไมคุณถึงเศร้าหรือเสียใจไม่นาน คุณทำได้อย่างไร

เพราะเรารู้ว่าถ้าเรามัวมานั่งเครียดมันจะยิ่งไปกันใหญ่ เรารู้อยู่แล้วว่าทำไมเราถึงเป็น เพราะที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตทั้งภายในและภายนอกแบบผิดๆ กินอาหารที่อยากทาน ของที่เขาว่าไม่ดีเราชอบหมด ปิ้ง ย่าง ลูกชิ้น อาหารสำเร็จรูป บางทีเราอาจจะเครียดกับงานที่มันไม่ได้อย่างใจ มันต้องปล่อยวางบ้าง เสียงอัดไปแล้ว คอนเสิร์ตผ่านไปแล้วเอาคืนไม่ได้ พลาดแล้วพลาดเลย เราอาจคิดไม่ได้ เรายังคงเป็นมิสเตอร์แอนด์มิสซิสเพอร์เฟคอยู่ตลอดเวลา

ก่อนหน้าที่คุณจะรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง คุณเคยคิดถึงมันบ้างไหม หรือมีคนรอบๆ ข้างเป็นมะเร็งบ้างหรือเปล่า

ตอนนั้นไม่ได้สนใจเลย มันไกลตัว เราไม่อิน คิดว่าคงไม่เป็นมะเร็ง คนเรามักคิดเข้าข้างตัวเองเสมอ แต่วันนั้นจนถึงวันนี้มันเหมือนเป็นเทรนด์ไปแล้ว พอไปถ่ายรายการที่ไหนจะมีคนเข้ามา “พี่ขาแม่หนูเป็น น้องหนูเป็น เพื่อนหนูเป็น พ่อหนูเป็น” สรุปเป็นกันรอบบ้านรอบเมือง แต่ถามว่าทำไมเป็นแบบนั้น เป็นเพราะเราได้รับพิษอยู่ตลอดเวลา เสพพิษจากการกิน การสูดอากาศนั่นคือสิ่งภายนอก แต่สิ่งภายในคือความขุ่นมัว ความกลุ้ม ความโมโห อะไรที่ไม่ดีมันจะเป็นพิษ และมันจะตกตะกอนอยู่ในร่างกาย เมื่อเวลาผ่านไปร่างกายเราก็จะแย่ลงๆ มันเป็นเรื่องภายในกับภายนอกรวมกัน

เมื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาทุกคนรู้ว่ามันทรมาน คุณเจออะไรบ้าง

เจอหมดทุกคำขู่ เราไม่รู้เลยว่ามะเร็งทำให้เราเจ็บยังไง แต่คีโมนั่นแหละที่ทำให้เราเจ็บ แต่มันต้องยอมแลก เหมือนเรายอมให้คนเอาระเบิดมาปาแขน ขา เราอาจต้องถูกตัดแขนขวาไปก็ได้ แต่เราก็ต้องยอม เพื่อให้มันมาบอมก้อนเนื้อร้ายในร่างกายของเรา ไม่มีทางเลือกก็ต้องเอาทางนี้ ไม่งั้นมันจะกินเราหมดเลย ตอนนั้นผมร่วง อาเจียน ช่วงให้คีโมเข็มที่ 3 และ 4 แทบตาย เหมือนตัวจะแตก ฉีดยาเข้าไปเต็มไปหมด พอภูมิตกก็ต้องฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดขาวเพิ่มให้มีแรง แล้วยาพวกนี้เราฉีดเองรอบพุง รอบขา จนเนื้อแตกไม่มีที่ฉีด ฉีด 14 เข็มหลังให้คีโม มันพรุนไปหมด


ฟังดูแล้วเหมือนใกล้จะตายจริงๆ ตอนนั้นในหัวคุณคิดอะไรบ้าง

เหมือนชกมวย โดนต่อย โดนน็อคจนเซ เขานับหนึ่งจนถึงเก้าแล้วเราก็ลุกขึ้นมาพอดี ไม่โดนน็อค พี่ก็เหมือนคนที่ไปนอนอยู่แล้วลงไปนับแล้วลุกใหม่ พอถึงเวลาหมดอีนั่นคว่ำเลย มะเร็งไปเลย สู้มันไม่ไหว แข่งกันว่าใครอึดกว่ากัน ฉันกับเธอ ไอ้นั่นถูกไล่ด้วยยา ส่วนเราก็ถูกยาระเบิดตัวเหมือนกัน

เมื่อหายแล้วสิ่งที่มะเร็งฝากไว้กับร่างกายคุณคืออะไรบ้าง

มันเข้ามามีบทบาทสำคัญ สร้างบทเรียนให้กับเราว่าถ้าเราไม่ดูแลตัวเองอีก แกมีสิทธิ์โดนต่อยน็อคอีก มันเหมือนเข้ามาเตือน ถ้าไม่เข็ดโดนอีก เราโดนมาเต็มๆ จนเราไม่กล้า ดังนั้นเราจะกินอยู่อะไรเราจะกระดากปากตัวเอง ฉันจะกลับไปกินแบบเดิมไม่เอาแล้ว เรารู้สึกไม่กล้า ไม่เอาแล้ว ไม่คุ้ม ถ้าเรามาเป็นตอนหลังๆ แรงเราน้อยลงแล้วนะ เพราะอุปสรรคสำหรับคนเป็นมะเร็งคือ เมื่อมีอายุมากขึ้นมันก็เหนื่อย จะทนยาได้ขนาดไหน เขาถึงไม่ให้คีโมกับคนแก่แล้ว ตอนนั้นที่เราเป็นเรายังมีแรง ขนาดมีเรายังแทบตาย

แล้วคุณต้องเปลี่ยนอย่างไรบ้าง

เปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตใหม่ ให้มันไม่ประมาท ให้มันมีทางเดินที่ควรจะเป็น เช่นเคยกินอาหารปิ้งย่าง อาหารที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคก็กินน้อยลง ลด ละ เลิก ไม่ใช่ไม่แตะ แต่เราก็เดินทางสายกลาง บางครั้งถ้าอะไรที่มันทำให้จิตใจห่อเหี่ยวก็อย่าอยู่ดีกว่า กินข้าวแล้วน้ำตาตกก็ไม่มีความสุขเลย อย่ากินดีกว่า อย่าอยู่เลย ไปเหอะ เอาให้มันมีสีสันบ้าง แต่ก็อย่าให้มันฉูดฉาดเกินไปจนมีเรื่องอีก เรื่องกินก็ครึ่งหนึ่งของชีวิตเราแล้ว เพราะเรากินทุกวัน ต่อไปก็เรื่องพักผ่อนและการออกกำลังกาย คนเราต้องออกกำลัง ไม่งั้นมันไม่มีการระบายของเสีย ร่างกายขับเหงื่อขับสารพิษออกมา ของเสียที่อยู่ในตัวเรามันก็จะหลั่งสารเอนโดฟินดีๆ ออกมาทำให้มีความสุข คลื่นสมองเรียบ อารมณ์ดี ลดความเครียด สร้างสมาธิ ส่วนเรื่องสำคัญมากคือการนอนหลับ ต้องนอนหลับให้ดี คนที่เคยให้คีโมมาแล้วจะรู้ดีเลยว่าการนอนน้อยมันไม่พอ 6-7 ชม.ไม่ได้ เราต้องนอน 8 ชม.


ทราบว่ามีเรื่องของธรรมะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คุณใช้ธรรมะช่วยรักษามะเร็งอย่างไรบ้าง

อันนี้เป็นเคล็ดลับที่เป็นหัวใจของหนุ่ยเลยก็ว่าได้ กิน นอน ออกกำลังกาย และเรื่องธรรมะ ตรงนี้เป็นสิ่งที่เยียวยาเรื่องของจิตหรือเรื่องของภายในที่ข้างนอกให้ไม่ได้ แต่เรื่องภายในเป็นเรื่องของธรรมะ ถ้าเรามีธรรมะมันจะทำให้เราเข้าประตูทางลัดการรักษาเร็วขึ้น สิ่งที่หมอทำคือหน้าที่หมอ สิ่งที่เราทำคือเรื่องธรรมะทำให้เราประสบความสำเร็จเรื่องการรักษาเร็วขึ้นอย่างชัดเจน ถ้าคุณไม่มีธรรมะคุณก็เหนื่อย คิดไม่ตก ปลงไม่เป็น จะวนกับเรื่องเดิมคือเรื่องความเครียด เพราะความเครียดเป็นต้นเหตุของความป่วย ธรรมะจะบอกให้เรารู้ว่าแก้ที่ไหน ก็แก้ที่เหตุ เพราะทุกข์มันอยู่ที่เหตุ

ก่อนเป็นมะเร็งเราลึกซึ้งกับธรรมะมาก่อนหรือเปล่า

ไม่ค่ะ แต่คิดว่าเราน่าจะมีเชื้อมาทางนี้อยู่แล้ว เพราะของเก่ามันต้องมี เราเกิดเป็นพุทธศาสนิกชนแสดงว่าเมื่อก่อนเราก็ต้องเป็น ไม่งั้นเราไม่เกิดมาในเมืองพุทธ มันถึงเวลาที่เราต้องชัดเจนในสิ่งนั้นว่าแท้จริงแล้วแก่นแท้ของธรรมะคืออะไร นับแต่วันที่เราป่วยเราก็เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม เราก็ตั้งจิตทุกวัน ทำทาน ทำบุญ เจริญสติ คือการทำสมาธิ แล้วสิ่งนั้นจะน้อมนำมาเป็นกุศลให้เราส่งมอบให้กับเจ้ากรรมนายเวรของเรา ที่เราเคยทำทั้งรู้และไม่รู้ แต่เราเชื่อว่าเมื่อก่อนเราต้องเคยทำอะไรเขามา เราถึงต้องมาเจ็บป่วยหนักขนาดนี้

แล้วคุณทำอะไรบ้าง

สวดมนต์ ไหว้พระ ทำสมาธิ ทำมาตั้งแต่หายป่วย ศาสนาจะสอนเราว่าความดีที่เราทำไม่ได้หายไปไหนเลย และความเลวที่เราทำก็ไม่หายไปไหนเหมือนกัน มันจะตอบสนองและส่งผลวันนั้นเหมือนที่เราทำ อานิสงส์มันมาทันตลอดเลยในช่วง 12 ปีที่หายป่วยมา เหมือนหนังเลย แม้ตอนรักษามันมีเรื่องบุญกรรมมาช่วยตลอด

คุณช่วยยกตัวอย่างเรื่องผลกรรมดีมาช่วยเหลือคุณไว้ได้ทันเวลาให้เราฟังหน่อยว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร

ช่วงให้คีโมเข็มที่ 3 ผลกรรมไม่ดีของเราทำให้เราป่วยหนัก ตอนนั้นเราฝังพอร์ตแคสอุปกรณ์ฉีดฝังไว้ในไหปลาร้าโดยไม่ต้องให้คีโมทางแขนเพราะเส้นเราตีบหมดแล้ว มันช่วยให้ยาได้สะดวกขึ้น แต่ถ้าแทงเข็มผิดหรือแพ้ยามันอันตรายถึงชีวิตเพราะมันแทงแล้วยาจะวิ่งเข้าเส้นเลือดใหญ่และวิ่งเข้าหัวใจ แล้ววันนั้นพอร์ตเราตัน ให้ยาไม่ได้ หมอต้องฉีดละลายลิ้มเลือดที่มาอุด แต่เราดันแพ้ยา แต่ยามันเข้าไปแล้ว วันนั้นหายใจไม่ออก ทวารเปิด ขี้ ฉี่ออกมาหมด นี่คือสัญญาณของคนจะตาย นี่คือผลกรรมของเราเองที่เจ้ากรรมนายเวรมารุม “เอาเลยทำให้มันเจ๊ง ทำให้มันตาย” แต่มันดีที่อาการออกเร็ว แม่เห็นก็วิ่งไปตามหมอ หายาฉีดแก้ ระหว่างนั้นหมดสติและรอดูว่าจะฟื้นไหม ถ้า 2 ชม.แล้วไม่ฟื้นแสดงว่าเราจะไปแล้ว แต่ปรากฏว่าฟื้น ตื่นมาบอกกับแม่ว่าหิวข้าว พยาบาลยังหน้าซีดบอกว่าเคสแบบนี้ไม่เคยมีใครรอด”

บางคนบอกว่าทำดีมาตั้งเยอะแยะ ทำไมชีวิตไม่เห็นจะดีขึ้นเลย

เพราะว่าคุณทำความชั่วมาเยอะกว่า เพราะผลชั่วปรากฏ และผลดียังไม่ออก เอาแบบนี้เลย ง่ายๆ เอานมมาใส่แก้วแล้วเอาสีแดงมาผสมลงไป ผสมนิดเดียวนมขาวแต่ขุ่น แต่ถ้าเราใส่สีแดงเข้าไปเยอะๆ เราจะไม่เจอสีขาวแล้วนะ เพราะน้ำแดงกลบหมด ถ้านมมากกว่ายังไงมันก็ขาว ความเลวทำง่าย ความดีทำยาก แต่ความดีคงอยู่นานทุกชาติไป ตายไปคนยังกราบไหว้ บูชา แต่คนทำชั่วโดนสาปแช่งสารพัด

ถ้าธรรมะเป็นยามันมีผลกระทบอะไรกับร่างกายและจิตใจของคุณบ้าง

มันเป็นยาวิเศษแผงเดียวที่ใช้แล้วไม่มีผลกระทบ มันจะมีแต่อานิสงส์ที่ดี ใช้แล้วบอกต่อ เพราะเป็นบุญ การให้ธรรมกับคนยิ่งกว่าการสร้างโบสถ์อีกนะ ทำให้คนสว่าง คนกำลังจะฆ่าตัวตายพูดให้เขารู้ตัว ธรรมะไม่ได้แปลว่าลิเก เก่าแก่ มันเป็นเรื่องจริงที่พูดแล้วช่วยสะกิดต่อมโง่ พูดออกมาแล้วสว่าง ช่วยได้ แต่ยาที่เรากินเข้าไปมันมีผลกระทบ

ถ้าวันนี้คุณจะต้องพูดกับคนที่เป็นมะเร็งและกำลังจะเสียชีวิต คุณจะพูดว่าอะไร

หนุ่ยไม่เคยกลัวความตาย เพราะมันเป็นสิ่งแท้จริงที่ทุกคนต้องเจอ ไม่ว่าจะเป็นพระอริยสงฆ์ที่ไหนท่านก็ต้องเสีย ท่านบอกว่าอย่ากลัวตาย ให้เตรียมตัวอย่างมีสติเพราะนั่นคืออนาคตที่เราต้องไปต่อ บางคนพอจะตายแล้วไม่มีสติ รนราน สุดท้ายแล้วถ้าเชื่อในเรื่องธรรมะ เราเชื่อว่ามันมีชีวิตต่อไป แต่ถ้าเราไร้สติ ชีวิตของเราจะไปอยู่ในที่ๆ ไม่ดี แต่ถ้าเราพร้อมตายอย่างมีสติจะไปดีมาก นั่นสำคัญที่สุด ถ้าเราเรียนรู้ธรรมะเราจะรู้ว่าตำแหน่งสุดท้ายที่เราจะยืนอยู่คืออะไร เราจะเจอกับอะไร

แล้วถ้าคุณต้องพูดกับคนที่กำลังเป็นมะเร็ง คุณมีอะไรจะบอกกับเขาบ้าง

ทำให้เต็มที่ เราต้องแยกว่าถ้าเรายอมรับว่าความตายมีจริง งั้นฉันจะตายแล้ว ไม่สน กินให้เละเทะ นั่นไม่ถูกต้องในทางพุทธ เพราะทางพุทธจะสอนเสมอว่าให้เราดูแลร่างกายของเราซึ่งเป็นของมีค่าที่พ่อแม่ให้เรามาอย่างดีที่สุดจนถึงสังขารมอดไหม้ ไม่ใช่เดี๋ยวตายเลยไม่สน เหมือนเราฆ่าคน เราต้องดูแล ป่วยต้องรักษาทั้งจิตใจและร่างกายและส่งมอบวันสุดท้ายที่ร่างกายคุณไม่อยู่ แต่จิตวิญญาณของคุณยังอยู่

ประโยคที่คุณจะพูดกับคนที่ยังไม่เป็นมะเร็งล่ะ คุณจะพูดอะไรกับเขา

คุณพร้อมเป็นได้เสมอ เพราะมันป๊อบยิ่งกว่าเพลงป๊อบอีก มันสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา เด็ก ผู้ใหญ่ โดยเฉพาะมะเร็งเด็ก เพราะเดี๋ยวนี้พิษภายนอกและพิษภายในที่เราใส่เข้าไปอีกทุกวัน เป็นมะเร็งง่ายมากจาก 13 ปีที่หนุ่ยเป็นมันเพิ่มขึ้นมาเป็นทวีคูณ

เมื่อ “มะเร็ง” ได้มอบบทเรียนชีวิตให้กับเธอ วันนี้เธอจึงมีโครงการ Cancer Project ที่เป็นการส่งมอบหนังสือให้กับผู้ป่วยมะเร็งยากไร้ โดยผู้สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดโครงการและร่วมสร้างความมหัศจรรย์ให้กับชีวิตได้ที่ www.facebook.com/cancerprojects

เรื่องราวร้ายๆ บางเรื่องถ้าไม่เจอกับตัวเองจะไม่มีวันรู้ซึ้งและเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริง แต่ถ้าเรามีตัวอย่างและแนวทางจากเขาเหล่านั้นแล้ว มันจะดีกว่าไหมถ้าเราจะปรับ เปลี่ยนวิธีคิดและการดำเนินชีวิตของเราเสียใหม่ เพื่อไม่ให้ต้องเผชิญกับเรื่องร้ายที่ใครๆ ก็ไม่อยากพบเจอ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook