สวยและรวยมาก! ไฮโซสาวสวยยิ้มหวาน 'พอลลี่' กับบทบาทนางเอกดาวรุ่ง

สวยและรวยมาก! ไฮโซสาวสวยยิ้มหวาน 'พอลลี่' กับบทบาทนางเอกดาวรุ่ง

สวยและรวยมาก! ไฮโซสาวสวยยิ้มหวาน 'พอลลี่' กับบทบาทนางเอกดาวรุ่ง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

Paule is happy

- Her Profile -

ชื่อ : พอลลี่-พรพรรณ สิทธินววิธ
การศึกษา : ปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
อาชีพ : นักแสดง นักธุรกิจ
ธุรกิจ : แบรนด์ Cath Kidston, อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ Vitamin Club Thailand

“พอลลี่ว่าทุกคน ที่ประสบความสำเร็จ คนรอบข้างและโอกาสสำคัญมาก”

หากคุณได้เห็น พอลลี่-พรพรรณ สิทธินววิธ ขณะที่เธอกำลังบอกเล่าประสบการณ์การทำธุรกิจ Cath Kidston หรือพูดถึงแผนการตลาดของธุรกิจอาหารเสริมและความงามแบบครบวงจร Vitamin Club ไปจนถึงการออกผลิตภัณฑ์อาหารเสริมตัวใหม่ภายใต้ชื่อ Prime คุณจะสัมผัสได้ถึงพลังของนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ เหนือสิ่งอื่นใด เธอเชื่อว่าที่เธอสามารถสวมบทบาทนักแสดงไปพร้อมๆ กับการทำธุรกิจมากมายได้สำเร็จก็เพราะเธอ ‘เลือกทำในสิ่งที่รัก’ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมรอยยิ้มของเธอจึงอิ่มเอมไปด้วยความสุข

พอลลี่กับบทบาทนางเอกดาวรุ่ง

พอลลี่ : งานละครตอนนี้ก็มีเรื่องคู่หูคู่เฮี้ยน ซีซั่น 2 เป็นเรื่องเกี่ยวกับผีๆ ก่อนหน้านี้ก็ได้เล่นซิทคอม ก็ได้ลองอะไรแปลกใหม่ในการแสดง รู้สึกว่าซิทคอมเป็นอะไรที่ง่าย อย่างบทดราม่าก็เคยลองเล่นแล้วเรื่องแรกเลย ระหว่างดราม่ากับซิทคอมนี่ต่างกันเลยนะ ส่วนตัวรู้สึกว่าทั้งสองอย่างได้พัฒนาฝีมือไปคนละแบบ จริงๆ ก็ชอบหมดเลย ถ้าเรื่องหนึ่งมีทุกแนวมารวมกันก็ดี ภาพยนตร์ก็อยากลองถ้ามีคนติดต่อเข้ามาเพราะเราโตมาจากสายโฆษณามาก่อน ชอบวิธีการถ่ายทำ วิธีการคิดและการแสดงของภาพยนตร์ก็อยากลองมีประสบการณ์ด้านนั้น ตอนนี้ก็มีไปเวิร์คช็อปเพิ่มเติมการแสดง การร้องเพลงบ้าง ชอบดนตรีอยู่แล้วแต่ไม่กล้าร้อง จะชอบเต้นมากกว่า เต้นตั้งแต่เด็ก เต้น Cover เพลง ยิ่งมาอยู่ในวงการก็คิดว่ามันสามารถใช้ประโยชน์ได้ก็จะกลับไปเรียนบ้าง มันก็ได้หุ่นดีด้วย ได้สุขภาพด้วย ฝึกสกิลตัวเองในการเต้นโชว์ได้ด้วย จริงๆ ไม่แต่เฉพาะดารา คนทั่วไปก็ควรที่จะเก่งรอบด้านมากขึ้น เพราะยุคสมัยเปลี่ยนไป ยิ่งมีโซเชียลมากขึ้น ลู่ทางในการพรีเซนต์ตัวเองมากขึ้น ทำให้คนพัฒนาตัวเองง่าย

เปิดตัวอาหารเสริมน้องใหม่ Prime

พอลลี่ : ตอนนี้เริ่มทำธุรกิจความงามจริงจังมากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้เราก็มี House Brand เป็นของตัวเองคือ Vitamin Club เราดีลกับบริษัทผู้ผลิตที่มีคุณภาพที่ดีเราเองก็ทานวิตามินเองและรู้สึกว่าในท้องตลาดมันยังไม่ตอบโจทย์ เราก็มองหาวิตามินที่นำมาขายและทานเองได้ด้วย ก็เลยสั่งผลิตอาหารเสริมชื่อว่า Prime ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เมื่อก่อนเรามีอาหารที่เฟรชมากๆ ทานผลไม้ที่ตัวเองปลูกหรือพืชผักในบ้าน สมัยนี้ก็จะตัดต่อพันธุกรรมเยอะหรือพวกสารที่ตกค้าง ฉะนั้น เราทานก็ต้องต้มให้สุก บางทีประโยชน์ก็หมดไป ถามว่าวิตามินจำเป็นมั้ยก็ต้องมองว่าไลฟ์สไตล์ของคนรวดเร็วขึ้น ไม่มีเวลาไปคั้นน้ำส้มสดๆ ทาน ทานวิตามินซีเป็นเม็ดก็ง่ายขึ้น คือมันช่วยอยู่แล้ว ต้องศึกษาก่อนว่าตัวที่ทานดีจริงมั้ย ถึงปัจจุบันจะดูแลตัวเองมากขึ้นแต่มลพิษก็มากขึ้นไปด้วย ถึงเราจะทานอาหารที่มีประโยชน์แต่วิตามินก็ถือว่าเป็นตัวช่วย ไม่ได้เป็นหนึ่งในอาหาร 5 หมู่ที่ต้องทานทุกวัน แต่ให้นึกว่าถ้าวันไหนเราต้องการตัวช่วยมันก็ช่วยได้นะ

ตลาดอาหารเสริมคู่แข่งเยอะรับมือกับความท้าทายตรงนี้ยังไง

พอลลี่ : พอลลี่ไม่ได้มองว่าเราไปแข่งกับใคร แต่มองตรงจุดที่ว่าอยากจะอยู่ในธุรกิจนี้นานๆ เราจึงใช้คุณภาพเพื่อให้มันอยู่ได้ เน้นการบอกต่อ มันไม่ใช่สินค้าแฟชั่น เราคิดแล้วว่าจะให้อยู่ในตลาดนานๆ จึงค่อยๆ พัฒนาของเราไปเรื่อยๆ ที่บริษัทเราก็บอกเขาว่าเราต้องการอะไร ที่บ้านมีคนเป็นเภสัชฯ และหมอ เราก็ยกหน้าที่นี้ให้กับเขาไป หน้าที่ของเราหลักๆ คือ เป็นการดูแลพีอาร์ มาร์เก็ตติ้ง แต่ตอนนี้ยังไม่มีแพลนว่าจะไปทำการตลาดที่ไหน เรามุ่งขายใน Vitamin Club ก่อน เราสร้างแบรนด์ Vitamin Club ให้แข็งแรงว่ามาที่นี่แล้วได้สินค้าที่ปลอดภัยและราคาถูก เราจึงอยากดึงคนมาร้านเราทำให้รู้จักร้านเรามากขึ้นอีก จน ณ วันหนึ่งติดตลาดเราอาจจะขยายสินค้าไปที่อื่นเพื่อการซื้อ-ขายที่สะดวกขึ้น

ระหว่างธุรกิจอาหารเสริมกับธุรกิจ Cath Kidston อะไรคือความยากง่ายของสองธุรกิจนี้

พอลลี่ : ไม่เหมือนกันเลยนะ อย่างธุรกิจความงามเป็นอะไรที่เราต้องทาน ต้องใช้ ถ้าคนรักษาสุขภาพเขาจะเป็นลูกค้าประจำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ แต่ Cath Kidston มันคือแฟชั่น ฉะนั้น ต้องมีการอัพเดท มีการพัฒนา โปรโมทเยอะกว่า แต่ส่วนที่เหมือนกันคือ เราเน้นกลุ่มผู้หญิงเหมือนกัน สำหรับเรามองว่า Cath Kidston เป็นผู้หญิงที่ดูแลตัวเอง รักตัวเอง รักความสวยงาม และธุรกิจความงามเองก็ตรงกับผู้หญิงกลุ่มนั้น

ธุรกิจทั้งสองตัวกับเทรนด์ธุรกิจในอนาคต

พอลลี่ : เทรนด์ธุรกิจมันเปลี่ยนไปทุกปี เรามองกันเป็นปีต่อปีดีกว่า แต่อนาคตเราก็มองจะเป็นแนวไหน แต่ด้วยความที่ Cath Kidston คู่แข่งน้อย มันไม่ใช่สไตล์ของ Fast Fashion ที่ต้องเปลี่ยนทุกเดือน มันคลาสสิกของมัน คนชอบเพราะตัวแบรนด์ของมันดี และแบรนด์เขาเข้มแข็งอยู่แล้ว เราแทบไม่ต้องไปพีอาร์มาก อนาคต Cath Kidston มันคงไปได้เรื่อยๆ นะ ต่างกับอาหารเสริมที่ต้องคอยมองอยู่เรื่อยๆ ว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่ยังไงเราก็จะเน้นคุณภาพเป็นหลัก

ยังมองหาลู่ทางสำหรับธุรกิจอื่นไว้บ้างมั้ย

พอลลี่ : มองค่ะ ต้องบอกก่อนว่าเวลาเราจะทำอะไรเราจะเอาความชอบตัวเองเป็นที่ตั้ง เป็นคนติสต์เหมือนกันนะ พอไม่ชอบปุ๊บ ก็จะขี้เกียจ เราก็จะมีอารมณ์วัยรุ่นอยู่ คงจะมีบางอารมณ์ที่ไม่อยากเข้าร้านถ้าเราไม่ได้อินกับสิ่งนั้นจริงๆแต่ตอนนี้ที่มองไว้คือธุรกิจสปา เพราะตัวเองชอบตั้งแต่เด็ก ชอบมาก ถ้าเปิดก็คงไปอยู่ที่นั่นทุกวัน (หัวเราะ) มันเป็นสิ่งที่เราชอบและเราอยากทำ และเราก็จะมีไอเดียกับมันเสมอ อย่างถ้าให้เราไปออกแบบเสื้อผ้าสักวันมันคงตัน ดังนั้น ถ้าเรายังไม่มี Passion ในการทำธุรกิจนั้นจริงๆ เราจะไม่ทำ กลัวทำไปแล้วมันไม่ยาว เลยจะเริ่มต้นทุกอย่างจากสิ่งที่ชอบ อย่าง Cath Kidston เราก็ชอบมาก่อนอยู่แล้ว เวลาใครไปต่างประเทศก็จะฝากซื้อ เราก็เชียร์ให้พี่สาวกับเพื่อนเขาทำ บางทีเราก็ใช้ความรู้สึกด้วยนะว่ามันเวิร์คมั้ย

คุณพ่อคุณแม่ให้คำปรึกษายังไง

พอลลี่ :พวกท่านจะไม่ห้ามนะคะ แต่จะบอกแค่ว่า “คิดเองนะ ป๊าให้คำปรึกษาได้บางส่วนนะ ป๊าเป็นคนรุ่นเก่า ป๊าก็จะไม่รู้ว่าคนสมัยนี้ต้องการอะไร” ท่านก็จะให้เงินทุนแต่ถ้าเงินก้อนนี้หายไปก็ไปหาเอาเองนะ คือคุณพ่อเนี้ยเวลาทำอะไรจะคิดเยอะ ถ้าวันนั้นป๊าไม่ระวังวันนี้ป๊าก็คงไม่มีให้ลูก อะไรที่เสี่ยงมากเขาก็จะไม่ทำ แต่เราเป็นประเภทวัยรุ่น อยากลอง อยากเสี่ยง แต่คุณแม่จะเป็นคนละเอียดจะคอยเตือนเรื่องการไว้ใจคนให้เราระวังมากกว่า

ข้อได้เปรียบที่เราเริ่มทำธุรกิจตั้งแต่ยังเด็ก

พอลลี่ : ตั้งแต่เด็กจะชอบเอาของไปขายที่โรงเรียน ทำเจลเทียน ทำดอกไม้จากถุงน่อง พอคนซื้อก็ดีใจถึงรู้ว่าเราชอบทำมาค้าขาย พอเริ่มโตขึ้นก็อยากได้เงินเองโดยไม่ต้องขอพ่อแม่ เวลาขอท่านจะถามว่าเอาไปทำอะไร บางทีเราก็ไม่อยากบอก ก็หาเองดีกว่า ช่วงที่ได้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เมืองนอกเราก็เห็นเด็กที่นั่นเขาทำงานหาเงินกันเอง ก็เป็นแรงบันดาลใจในการหาเงิน ก็ไปเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ได้เงินมาบางที 40 ดอลลาร์ เก็บๆ กลับมาได้เงินเป็นแสน พอกลับมาปุ๊บก็ได้ทำงานถ่ายโฆษณา ชิ้นแรกคือโฆษณา POND’S หลังจากนั้นก็ได้งานมาเรื่อยๆ เป็นเจ้าแม่โฆษณาไปแคสเดือนหนึ่งได้ 5-6 งาน พอเก็บเงินได้เยอะก็อยากทำอย่างอื่น ก็เลยลงทุนทำร้านเล็บกับเพื่อน ไฟไหม้สยามซะก่อน ตอนนั้นถึงได้รู้ว่า อ๋อ การทำธุรกิจมันมีปัจจัยเสี่ยงเยอะ ตอนเด็กๆ เราคิดแต่บวก พอไฟไหม้ที่จบเลย มันเลยเป็นบทเรียน ข้อดีคือ อาจจะมีบทเรียนเร็วกว่าคนอื่น อย่างน้อยเราได้ประสบการณ์ได้เรียนรู้ มันเป็นสถานการณ์จริง เป็นห้องเรียนย่อมๆ ที่เราจ่ายตังค์เรียนที่ไหนไม่ได้ ยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เชียร์ให้คนลุกขึ้นมาทำธุรกิจของตัวเอง มันก็เสี่ยงแหละ แต่มันมีความสุข ถึงมันจะมีปัญหาแต่มันก็เป็นปัญหาที่เรามีความสุขที่จะแก้

ผ่านช่วงที่แย่ที่สุดในการทำธุรกิจมาบ้างหรือยัง

พอลลี่ : อย่างที่บอกว่าเราเริ่มต้นเร็ว ล้มเหลวเร็ว หลังจากไฟไหม้ร้านเล็บทำให้เราคิดเยอะ เพราะนั่นเป็นธุรกิจแรกและเจอเหตุการณ์ใหญ่สุด เพราะเราก็ตั้งใจทำมาก พอได้บทเรียนมาเราจะคิดเลยว่า หากจะทำอะไรที่ใหญ่โต ต้องมีหุ้นส่วน และเราก็ค่อนข้างประชุมกันบ่อย ต้องมีการบริหารงาน มีคณะกรรมการ เราไม่ได้เป็นคนเดียวที่จะตัดสินใจ ต้องมีคนหลายหน้าที่

เคยได้ยินว่าไม่ควรทำธุรกิจกับคนใกล้ชิด ตัวคุณมองเรื่องนี้ยังไง

พอลลี่ :โอกาสแตกคอกันมันมี เพราะเราจะไม่เข้าใจธรรมชาติของธุรกิจ จะใช้แต่อารมณ์ ไม่ว่าธุรกิจจะใหญ่หรือเล็กแค่ไหนก็มีโอกาสทะเลาะกันได้ แต่เชื่อว่าเราต้องฟัง เคารพกัน หน้าที่ใครหน้าที่มัน ประชาธิปไตยเสียงข้างมาก ก่อนเริ่มทำธุรกิจมีการร่างสัญญา คุยให้ชัดเจน พอลลี่จะไม่เอาเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวมาปนกัน ตอนเด็กอาจจะมีบ้างเซ็งเพื่อนไม่อยากไปร้าน แต่โตมาก็แล้วไงมันคือเงิน ไม่ทำก็ไม่ได้ เราลงทุนมาแล้วก็ต้องทำ

การบริหารคนล่ะ

พอลลี่ : พอลลี่จะไม่ค่อยดีลงานกับลูกน้องจะให้เป็นหน้าที่อีกคนทำ เพราะเราเป็นคนพูดตรง บางทีเราไม่รู้ว่าบางคนรู้สึกยังไง ก็ให้คนที่พูดจาเก่งเป็นคนพูดดีกว่า ยกเว้นคนที่ต้องทำงานกับเราโดยตรง

หลักการบริหารต่างๆ ที่คุณพูดมาสั่งสมมาจากอะไร

พอลลี่ : ดูจากคนรอบข้าง ตอนที่เคยทำงานออฟฟิศเราก็เป็นลูกน้องก็จะรู้ว่าลูกค้าเป็นยังไง เวลาเจอคนที่เรื่องมากหรือไม่ดี ก็จะบอกตัวเองว่าเราจะไม่เป็นแบบนั้น คิดเตือนตัวเอง คงไม่ใช่แค่เพราะพ่อ แม่ พี่สอนมา ด้วยอายุที่มากขึ้นเราก็ต้องเรียนรู้มาเรื่อยๆ วันนี้เราคิดอีกอย่าง อีก 3 ปีเราอาจจะคิดอีกอย่างก็ได้ มนุษย์มันเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ

หลายบทบาทในชีวิตที่ได้ทำไปพร้อมๆ กัน สอนอะไรคุณบ้าง

พอลลี่ : สอนให้ปลงกับชีวิต พอลลี่เป็นคนที่ไม่ค่อยซีเรียสมาก เวลาทำงานเราทำเต็มที่ เสร็จงานก็ตัดเลย สับสวิตช์ได้ เจอเรื่องแย่ๆ ก็เศร้าอยู่วันเดียว อีกวันก็จบ เลยรู้สึกว่าก็ชอบตัวเองตรงนี้ไม่ยึดติดดี อะไรไม่มีความสุขก็ไม่ทำ แค่นั้นเลย

โจทย์อะไรในชีวิตที่อยากจะทำให้ได้

พอลลี่ : เลี้ยงพ่อแม่ ท่านอยากได้อะไรพูดปุ๊บได้ปั๊บ แต่มันยากนะ ท่านไม่อยากได้อะไรหรอก แต่เรารู้สึกว่าก่อนที่เราจะมีลูก เรายังไม่ได้เลี้ยงพ่อแม่เลย ตอนเด็กๆ ก็อยากแต่งงานเร็วนะอยากมีลูก แต่พอโตมารู้สึกว่าแล้วเราจะมีลูกไปทำไมเรายังไม่ได้ดูแลพ่อแม่เลย แต่สุดท้ายถ้ามันจะมาจริงๆ ก็มาแหละ แต่เป้าหมายจริงๆ ก็อยากดูแลพ่อแม่ให้ดีที่สุดก่อน

เต็ม 10 ให้คะแนนความสำเร็จในชีวิตเท่าไหร่

พอลลี่ : เอาไป 2 พอ มันยังไม่ได้รู้สึกว่าอยากได้อะไรแล้วได้ ทุกวันนี้เวลาจะซื้ออะไรยังต้องคิดว่าจำเป็นมั้ยหรือว่าเราจะเอาเงินไปทำอย่างอื่นก่อน คำว่าประสบความสำเร็จของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันนะ สำหรับพอลลี่ถ้าประสบความสำเร็จหมายถึง เลี้ยงพ่อแม่ และมีความสุขกับสิ่งที่มี

ตอนเด็กเคยฝันอยากเป็นอะไร

พอลลี่ : เป็นขอทาน (หัวเราะ) จริงๆ เห็นขอทานรวยดี ไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้เงิน โตมาก็คิดว่าโง่จังคิดอะไร โตมาหน่อยก็อยากเป็นนางแบบนะ แต่พอโตแล้วก็เตี้ยไง คือจบตรงนั้นความฝัน อยากไปเดินบนแคตวอล์กเนอะ เดินสะบัดผมแรงๆ ใส่ส้นสูงแม่แต่เด็ก แต่พอเห็นรูปตัวเองแล้วอนาถ (ยิ้ม) อีกมุมหนึ่งก็จะชอบดวงดาว ชอบซื้อหนังสือกาแล็กซี่ หนังสือวิทยาศาสตร์มาอ่าน ชอบอ่านอะไรเร้นลับ อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ อยากเป็นนักดาราศาสตร์ อยากเป็นนักสำรวจ เชื่อว่านางเงือกมีจริง

ไลฟ์สไตล์นางเอกไฮเปอร์

พอลลี่ : นอนอย่างเดียวเลยค่ะ เป็นคนที่ถ้านอนไม่พอหน้าจะเหี่ยว บางคนไม่เชื่อ พอเห็นเราไม่ได้นอนคืนเดียวแก้มจะห้อยทันที เลยจะพยายามนอน ไม่ก็หาเวลาไปนวด ชอบเข้าสปามีความสุข จะดูแลรูปร่างเป็นช่วงๆ ช่วงไหนฟิตก็ออกกำลังกาย ล่าสุดน้ำหนักขึ้นมา 10 กิโลฯ เอาลงมาได้ 5 กิโลฯ ก็ยังไม่ลง เป็นความฮึดว่าอยากสวย ช่วงไหนอยากทานก็ทาน จนสุดท้ายเขาต้องเขียนให้บทเราในละครรักเต็มบ้านท้องเพราะลดน้ำหนักไม่ทัน

นักธุรกิจรุ่นใหม่แบบคุณวางแผนการเงินยังไง

พอลลี่ : ตอนเด็กๆ ได้มาเท่าไหร่ใช้หมด เลยไม่ค่อยมีเงินเก็บ ชอบช้อปปิ้ง ชอบซื้อเครื่องสำอาง พอโตมาก็เริ่มวางแผนมากขึ้น เมื่อก่อนอยากเล่นหุ้น เพราะเรียนเศรษฐศาสตร์มา เคยเกือบซื้อแล้วตัวหนึ่งถ้าซื้อป่านนี้รวยไปแล้ว (หัวเราะ) แต่เป็นคนขี้กลัวไง ระแวงเลยไม่ซื้อ ตอนนี้ก็เริ่มดูอะไรที่มั่นคงและยิ่งทำธุรกิจแล้วก็คิดมากขึ้น เพราะรู้ว่าเงินหายากขึ้น เมื่อก่อนหมดไปกับเครื่องสำอางเต็มหน้ากระจกเลย แต่จะชอบหมดไปกับเรื่องทาน เรื่องทานเต็มที่ ลองทานจนอ้วน ชอบทำอาหารด้วย ไม่ได้เรียนนะ แต่ชอบทานไงเลยชอบทำอาหาร

สถานะหัวใจตอนนี้กับข่าวที่ออกมาว่าจิ้นกับเจี๊ยบ-ลลนา

พอลลี่ : กับข่าวก็เฉยๆ นะ เพราะเราสนิทกันมากและเจี๊ยบตอนนี้เขาก็เป็นลุคทอมบอย คนก็คงอยากให้เราเป็นคู่จิ้น เราก็ไม่เป็นไร ไม่เครียดนะ ไม่ได้เสียหายเพราะเราเป็นผู้หญิงเหมือนกัน และก็ไม่ได้มีข่าวแย่ๆ พ่อแม่ก็เข้าใจ

ความรักในมุมมองของคุณ

พอลลี่ : มันจำกัดความยากจัง ถามว่าความรักบริสุทธิ์คืออะไรดีกว่า สำหรับพอลลี่คือ พ่อแม่ ไม่ว่าเราจะเป็นยังไงคือเขารักเรา นั่นแหละคือความรัก ตอนเด็กเราไม่เข้าใจหรอก มันเหมือนโดนปลูกฝังมากกว่าว่าให้รักพ่อแม่ ถามว่ารักมั้ยรักแต่เราไม่เข้าใจ แต่พอโตขึ้นผ่านอะไรมาเยอะ เจอเพื่อน แฟน คนรอบข้าง สุดท้ายแล้วคนที่จริงใจกับเราที่สุดก็คือพ่อแม่ เรามาเข้าใจตอนที่เราโตขึ้นไม่ต้องรอมีลูกเราก็เข้าใจแล้ว ให้โดยที่ไม่ต้องร้องขอ และเราก็จะเป็นแบบนี้ถ้าวันหนึ่งเรามีลูก กับแฟนถ้าวันหนึ่งเราเจอคนที่ดีเราก็ยินดีที่จะให้ใจอยู่แล้ว

Smart Woman ที่เป็นไอดอล

พอลลี่ : พี่แอน ทองประสม เขาเป็นที่สุด การแสดงก็ดี ตั้งใจทำงาน มีระเบียบวินัย แล้วเขาก็ยังทำธุรกิจส่วนตัว และวางตัวในสังคมดี มันเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง แต่จริงๆ เชื่อว่าทุกคนมีจุดเด่นต่างกัน ผู้หญิงเก่งไม่จำเป็นต้องเก่งรอบด้าน คนนี้อาจจะทำกับข้าวเก่ง คนนี้ดูแลคนเก่ง ก็คือความเก่งของแต่ละคนมันแตกต่างกัน

Woman Plus#116 February 2015

cover interview

Text : อลิษา รุจิวิพัฒน์
Photo : ดำรงค์ฤทธิ์ สถิตดำรงธรรม

ติดตามคอลัมน์อื่นๆ เพิ่มเติม ดาวน์โหลดนิตยสารในเครือจีเอ็มได้แล้วที่   

อัลบั้มภาพ 23 ภาพ

อัลบั้มภาพ 23 ภาพ ของ สวยและรวยมาก! ไฮโซสาวสวยยิ้มหวาน 'พอลลี่' กับบทบาทนางเอกดาวรุ่ง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook