ณธิดี - กฤษณะ ร่างกายไม่สำคัญ หัวใจตรงกันเป็นใช้ได้

ณธิดี - กฤษณะ ร่างกายไม่สำคัญ หัวใจตรงกันเป็นใช้ได้

ณธิดี - กฤษณะ ร่างกายไม่สำคัญ หัวใจตรงกันเป็นใช้ได้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ลั่นระฆังวิวาห์แล้วสำหรับพิธีกรข่าวคนเก่ง ''อ๋อย'' กฤษณะ ไชยรัตน์ หลังจากบ่มรักกับแฟนสาวคนสวย ''เอ๋'' ณธิดี ทัศนพูนชัย มาเกือบ 10 ปี ซึ่งกว่าที่ ''อ๋อย-กฤษณะ'' จะชนะใจฝ่ายหญิงได้นั้นก็กินเวลาไป 3 ปีเลยทีเดียว แถมยังต้องเจอด่านครอบครัวของทางแฟนสาวอีก แต่ในที่สุดความรักแท้ และความจริงใจที่ฝ่ายชายมีให้ก็เอาชนะอุปสรรคทุกอย่างได้ ซึ่งกว่าที่นิยายรักเรื่องนี้จะมาถึงตอนแฮปปี้เอนดิ้ง ''อ๋อย-กฤษณะ'' และ ''เอ๋-นธิดี'' ก็พบเจอเรื่องราวต่างๆ มากมาย โดยวันนี้ทั้งคู่ได้จูงมือกันมาถ่ายทอดเลิฟสตอรี่ที่มีแต่ความประทับใจนี้ให้ฟัง รวมถึงความคืบหน้างานแต่งงานที่กำลังจะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 31 มีนาคมนี้ ณ โรงแรม แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ (บทสัมภาณ์นี้มีขึ้นก่อนวันแต่งงานนะคะ) เจอกันครั้งแรก อ๋อย : ''เรียกว่าเป็นรักแรกพบเลย ด้วยบุคลิค หน้าตาเรียกว่าถูกสเปก และด้วยความที่เป็นคนชอบจดบันทึกตอนเจอน้องเอ๋ครั้งแรกก็จดบันทึกไว้ว่าเจอสาวหน้าหมวย ใส่ชุดสีฟ้าครามซึ่งประทับใจมากก็จะบันทึกไว้ทุกอย่างเพราะถือว่าน้องเอ๋เป็นเรื่องที่ดีที่ได้พบ'' เอ๋ : ''ตอนแรกนี่จะเป็นการติดต่อเรื่องงาน พอดีเอ๋ทำงานที่เนชั่น ฝ่ายการเงิน 2 ปี แต่ได้มาเจอพี่อ๋อย 3 เดือน สุดท้ายก่อนที่เอ๋ออกไปเรียนต่อปริญญาโท และพอดีเอ๋จะต้องทำเช็คเรื่องค่าใช้จ่ายที่พี่อ๋อยประสบอุบัติเหตุ จึงได้เจอกัน ซึ่งพอทำเช็คเสร็จเอ๋จะเป็นคนนำขึ้นไปให้พี่อ๋อยเลยทำให้เราได้เจอกันค่ะ แต่ตอนเจอพี่อ๋อยแรกๆ ก็เฉยๆ นะก็ทราบว่าพี่อ๋อยเป็นพิธีกรแล้วประสบอุบัติเหตุแล้วกลับมาทำงานอีกครั้งหนึ่ง'' เริ่มต้นความรักด้วยความไม่มั่นใจ อ๋อย :''เรารู้จักกันปี 41 รู้จักกันประมาณ 2-3 เดือน ก็เก็บความประทับใจไว้ถึงแม้เราจะมีจิตพิศวาส เพราะเราก็เป็นแบบนี้ก็เจียมเนื้อเจียมตัวพยายามหักห้ามใจพูดง่ายๆ เราก็สูญเสียความมั่นใจแค่คิดก็ผิดแล้ว เราก็บอกกับตัวเองว่าใครจะมารักเราจริง ก็เก็บความในใจไว้และพยายามห้ามใจอย่าคิดอะไรเกินเลย แต่ตอนที่น้องเอ๋จะออกก็ใจหายเพราะจะไม่ได้เจอแล้วก็เลยขอเบอร์โทร.เอาไว้แต่ก็นานนะกว่าจะโทร.ไปหาถามสารทุกข์สุกดิบ ถามเรื่องเรียนแต่คุยกันไม่บ่อยนะเพราะไม่อยากรบกวนก็คิดไปเรื่อยจนผ่าน 2-3 เดือน ผ่านไปก็เริ่มชวนน้องเอ๋ทานข้าว'' เอ๋ : ''ตอนที่พี่อ๋อยขอเบอร์เอ๋คิดว่าพี่เขาคงไม่โทร.มาหรอก คงจะขอเป็นธรรมเนียมตามประสาคนรู้จักกันและอีกอย่างเราก็นานๆ เจอกันที ซึ่งก่อนออกพี่อ๋อยก็เลี้ยงข้าวแต่ก็คิดว่าเลี้ยงอำลาตามารยาทเพราะเอ๋บอกพี่อ๋อยว่าจะออกแล้ว พอออกไปสักพักพี่อ๋อยถึงจะโทร.มาก็คุยเรื่องทั่วไปค่ะ'' กว่าจะเป็นแฟนกัน อ๋อย : ''เรื่องนี้ต้องใช้เวลามาช่วยเพราะเขาเองต้องศึกษาเราเยอะก็หลังจากเจอกันประมาณ 2 ปีครึ่งซึ่งตอนนั้นน้องเอ๋เค้าก็มีแฟนอยู่แล้วด้วย ส่วนตอนที่บอกรักใช้เพลงนะแต่งเองเล่นกีตาร์ให้ฟังแล้วก็บอกรัก'' เอ๋ :''พี่อ๋อยเค้าบอกด้วยคำพูดแล้วก็ส่งเมลมาบอกค่ะ วันที่ 6 พ.ค. 43 ตอนนั้นเอ๋ก็ยังเฉยๆ นะจากนั้นก็คุยกันมาเรื่อยๆ ไปชอปปิ้งกันบ้าง ตอนนั้นเอ๋ก็บอกพี่อ๋อยว่าเราคุยกันเป็นกิ๊กกันทางอีเมลเพราะเอ๋ก็มีแฟนอยู่แล้ว จนมาประมาณปี 44 ก็ตกลงเป็นแฟนด้วย'' ใจอ่อนเพราะความโรแมนติก เอ๋ : ''ประทับใจคำสารพัดคำหวานๆ ที่พี่อ๋อยเขียนมาให้ ซึ่งพี่เขาเขียนมาให้บ่อยมากแล้วก็มีคุยโทรศัพท์กันมากขึ้นพี่อ๋อยก็สรรหาอะไรมาเล่าให้ฟัง ซึ่งก็ประทับใจในความโรแมนติกเพราะยังไม่มีเคยเจอใครหวานแบบนี้มาก่อนเลย และพี่เขาคุยเก่งซึ่งเอ๋ก็ชอบฟังประมาณว่าแพ้คารม'' อ๋อย : ''พอดีเป็นคนชอบศิลปะ และเป็นคนชอบเรื่องกลอน บทกวีก็เขียนส่งไปให้'' เรื่องนี้ประทับใจสุดๆ เอ๋ : ''วันเกิดพี่อ๋อยซื้อเค้กให้ แล้วโทร.มาบอกให้มาทานเค้กแต่เอ๋ไม่ได้ไปเพราะไปกับเพื่อน พี่อ๋อยก็ถ่ายรูปมาให้ดู แถมยังเปาเทียนให้เสร็จก็ประทับใจมากค่ะเห็นถึงความตั้งใจ'' อ๋อย : ''ก็เตรียมไว้ให้เขา แต่พอดีเอ๋ไปกับเพื่อนเราก็เศร้าเลยเปาเทียนเอง ทานเอง แล้วก็ถ่ายรูปเขียนเป็นโปสการ์ดไปให้ดู'' ฝ่าด่านครอบครัวฝ่ายหญิงด้วยความจริงใจ อ๋อย : ''ตอนนั้นทรมานมาก เพราะเราก็ไม่กล้าเจอก็มีคุยกันนะว่าจะเจอกันยังไงดี ด้วยความที่เราเป็นแบบนี้เราก็ไม่มั่นใจว่าทางบ้านเขาพ่อ แม่เขาจะคิดอย่างไง คือก็คิดเบสิกเลยนะถ้าเรามีลูกสาวแล้วลูกเราต้องไปมีแฟนนั่งรถเข็นเป็นมนุษย์ล้อจะรู้สึกยังไงคิดแบบใจเขาใจเราทำให้เราไม่กล้า ตอนแรกก็คิดหลากหลายวิธีว่าจะเจอพ่อ-แม่น้องเอ๋ได้อย่างไรก็มีคิดว่าให้น้องเอ๋พาพ่อแม่ไปชอปปิ้งแล้วบังเอิญเจอกัน แต่มันก็ไม่ได้สักทีสุดท้ายก็รวบรวมความกล้าเพราะเราก็คบกันมานานแล้ว และเราก็รักจริงมีความจริงใจ เลยคิดว่าความบริสุทธิ์ใจของเราเป็นสิ่งที่ทำความเข้าใจได้ ก็เริ่มไปส่งบ้านค่อยๆ เข้าไปทำความคุ้นเคยประกอบกับที่ทำงานออกสื่อด้วยทำให้พ่อ-แม่น้องเอ๋ได้เห็น สุดท้ายก็ได้เจอกันก็พาพ่อ-แม่ไปทานข้าว'' เอ๋ :''นานนะกว่าจะได้มาเจอครอบครัวประมาณ 2 ปี เองทั้งๆ ที่คบกันมา 5-6 ปี คือพี่อ๋อยก็มาส่งที่บ้านนะแต่ไม่เคยลงจากรถนะ เอ๋เองก็เกริ่นให้พ่อ-แม่ฟังมานานเหมือนกัน ตอนแรกๆ ก็บอกว่ารู้จัก แล้วก็เปิดทีวีให้ดู สักพักก็บอกว่าพี่เขาอยากมาเที่ยวบ้านให้มาได้ไหมแรกๆ พ่อกับแม่ก็ยังไม่ให้มา แต่เราคิดว่าจะต้องแต่งงานอยู่ด้วยกันก็พามาเจอ ทางบ้านก็เฉยๆ ไม่ได้ว่าอะไรเพราะต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเอ๋เองเพราะเราต้องเป็นคนแต่งงาน หลังจากที่เริ่มคุ้นจากนั้นก็ไปเรื่อยๆ'' เมื่อความรักสุขงอมการแต่งงานก็เกิดขึ้น อ๋อย : ''เรื่องแต่งงานเราคุยกันมานานแล้ว เพราะเราคบกันมานานแล้วก็มีคุยโครงการเรื่องแต่งงาน ก็พยายามหว่านล้อมทุกวิถีทาง ซึ่งน้องเอ๋เองก็ติดขัดอยู่หลายปีก็เข้าใจนะว่าเขาก็ต้องคิดหนัก แต่ก็คิดว่าอยู่กันได้นะ'' เทคนิคดูแลความรักที่มีมา 10 ปี ให้ยังคงหวานตลอดไป อ๋อย :''ความเป็นแฟนความเป็นคู่รักมันอาจไม่ยั่งยืนเท่าความเป็นเพื่อน เป็นพี่เป็นน้อง บางครั้งมีเรื่องไม่ถูกต้องเราก็จะเป็นพี่เขาแนะนำสั่งสอน หรือวันนี้ตะวันตกดินสวยจังจุ๊บกันหน่อยก็กลายเป็นคู่รัก หรือเราอยากชอปปิ้งก็จะกลายเป็นเพื่อนกัน มันก็แล้วแต่โอกาสหรือสถานการณ์ แต่พอมาถึงตอนนี้แล้วก็จะเน้นเรื่องความจริงใจ จริงจัง มีความปรารถนาดีกันและกันเท่าที่จะทำได้ น้องเอ๋ไม่ใช่แค่คนรัก แต่เป็นทุกอย่างเขาดูแลเราทุกอย่างเป็นทั้งเพื่อน ผู้ช่วยเป็นทุกอย่าง'' เอ๋ : ''พยายามเข้าใจกันให้มากที่สุด ซึ่งพอมีอะไรไม่เข้าใจกันก็จะพยายามคิดใจเขาใจเราก็ต้องพยายามเข้าใจกัน'' น้องเอ๋ยันไม่เคยรู้สึกว่าพี่อ๋อยเป็นภาระ เอ๋ : ''ไม่เคยคิดเลยนะว่าพี่อ๋อยเป็นภาระ เอ๋ก็ใช้ชีวิตปกติทั่วไปไม่เคยคิดอะไร มีแต่พี่อ๋อยที่ชอบคิดเอ๋ไม่เคยคิดเลย เอ๋รู้สึกว่าพี่อ๋อยปกติทุกอย่าง พี่อ๋อยชอบคิดว่าจะต้องลำบากจริงๆ ไม่เคยมีเลย'' อ๋อย : ''เราโชคดีที่มาเจอเขา แต่เขาอาจจะโชคไม่เหมือนเราที่ต้องมาดูแลเราแทนที่เขาจะสบายพูดง่ายๆ เขาก็ไม่จำเป็นต้องมาเลือกเราเขาสามารถมีชีวิตที่ดีปกติ แต่เขาก็มาเห็นใจเรา มาดูแลพร้อมที่จะใช้ชีวิตกับเรา'' งานแต่งที่กำลังจะมีขึ้น อ๋อย : ''ก็จะแบ่งเป็นสามช่วง ช่วงแรกเรื่องเพลงรุ่นใหม่ รุ่นกลางๆ เป็นแบบยุคแฟนฉัน และยุคเก่าก็จะมี คุณวินัย พันธุรักษ์ มาร้องเพลงให้ และอีกช่วงก็จะเป็นช่วงศิลปินแห่งชาติมา อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์, อ.ถวัลย์ ดัชนี มาร่ายกวีให้ ช่วง 3 ก็จะเป็นช่วงพิธีการหน่อยโดยมีท่านองคมนตรี พลเรือเอก ชุมพล ปัจจุสานนท์ ให้เกียรติมาเป็นประธาน แล้วก็จะมี คุณสุทธิชัย หยุ่น มาวิเคราะห์ข่าวให้แต่ไม่รู้ว่าจะวิเคราะห์ข่าวเรื่องอะไรนะ ก็เป็นสีสันในรายการ จากนั้นก็จะมีประธานฝ่ายเจ้าสาวมากล่าวพิธีการ แถมท้ายด้วยล้วงลูกกฤษณะก็จะแบ่งเป็นประมาณนี้ ตอนนี้ก็เรียบร้อยไปประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์'' วางแผนชีวิตหลังแต่งงาน อ๋อย : ''ด้วยงานที่ไม่เป็นเวลาแต่เราก็สามารถอยู่ด้วยกันได้ ปรับให้ตรงกันได้ บางครั้งที่น้องเอ๋มาช่วยถ่ายทำรายการทั้งต่างจังหวัด และต่างประเทศ หลังจากแต่งงานก็คุยกันเอาความสะดวกให้น้องเอ๋เป็นที่ตั้ง ตอนนี้น้องเอ๋ทำงานฝ่ายการตลาดที่ศูนย์การค้าแห่งหนึ่งเสาร์-อาทิตย์ก็ไม่ค่อยได้หยุด แต่ส่วนตัวเสาร์-อาทิตย์งานจะเบา และกว่าจะเลิกงานก็มี 3 ทุ่ม แถมยังต้องมาดูแลเราอีกก็อาจจะขอให้ปรับสายงาน หรือย้ายงานที่หยุดเสาร์อาทิตย์เป็นต้น'' เอ๋ :'' เรื่องงานก็ทำเป็นปกติแต่ถ้ามันหนักเกินไปก็ต้องตัดสินใจอีกทีเพราะต้องยึดครอบครัวเป็นหลักค่ะ และหลังแต่งงานก็แพลนว่าจะมีน้องเลยทันที ก็แล้วแต่ว่าจะมีกี่คนแต่ขอให้มี'' อ๋อย : ''เหมือนคู่รักคู่อื่นๆ จะสมบูรณ์ได้ก็ต้องมีทายาท เราก็หวังที่จะมีเหมือนที่หลายๆ ครอบครัวมีก็เป็นสิ่งที่เราปรารถนาอยู่แล้ว ก็อยากมีสัก 2-3 คน'' จากใจผู้ชายชื่อกฤษณะ ''อยากจะบอกน้องเอ๋ว่าแม้ว่าการเวลาจะผ่านมากเกือบ 10 ปี ตั้งแต่ที่ได้เจอกัน วันนี้ความคิดความรู้สึกในความทรงจำเมื่อก่อนเป็นยังไงวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม บางครั้งด้วยกาลเวลาก็อาจทำให้น้องเอ๋ขุ่นข้องหมองใจ หรือหงุดหงิดบ้างแต่พี่ก็อยากจะบอกน้องเอ๋ว่ายังรักเหมือนเดิมยังมีความปรารถนาดี และเชื่อมั่นว่าน้องเอ๋เป็นคนดีและมั่นใจว่าเราเป็นคู่กัน อยากจะบอกว่ารักน้องเอ๋ครับ'' :: ภาพงานแต่งจาก http://www.oknation.net/blog/art/2007/04/01/entry-1

อัลบั้มภาพ 6 ภาพ

อัลบั้มภาพ 6 ภาพ ของ ณธิดี - กฤษณะ ร่างกายไม่สำคัญ หัวใจตรงกันเป็นใช้ได้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook