Babyface เรื่องความอ่อนเยาว์ที่ไม่เคยเก่า

Babyface เรื่องความอ่อนเยาว์ที่ไม่เคยเก่า

Babyface เรื่องความอ่อนเยาว์ที่ไม่เคยเก่า
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

พอพูดถึงเรื่องของการทำใบหน้าอ่อนเยาว์ สวยใส มักจะเป็นเรื่องที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยก็ยังได้รับความนิยมกันแบบไม่มีลืม แถมยิ่งนานเข้ายิ่งมีนวัตกรรมใหม่ๆ มาให้คุณผู้หญิงทั้งหลายได้อัพสวยกันตลอด ฉบับนี้เราจะขอพูดถึงการทำเบบี้เฟสเพื่อช่วยลดริ้วรอย

ถ้าพูดในแง่ของการทำ Babyface สามารถแปลได้ตรงตัวว่าทำให้ผิวอ่อนเยาว์เหมือนเด็ก ซึ่งโดยธรรมชาติผิวของเราจะมีการผลัดเซลล์ผิวทุกๆ 28 วันอยู่แล้ว แต่เมื่อคนเราอายุมากขึ้นการผลัดเซลล์ผิวก็จะช้าลงเรื่อยๆ แล้วก็จะเกิดการสะสมของเม็ดสีทำให้ผิวดูหมองคล้ำรวมทั้งริ้วรอยที่มากขึ้น สำหรับริ้วรอยที่เกิดขึ้นเกิดจากผิวหนังมีการสูญเสียคอลลาเจนมากขึ้น รวมทั้งประสิทธิภาพในการสร้างcollagenก็ลดลงด้วยการทำหัตถการเพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพผิว

วิธีสมัยแรกจะเป็นการลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical peeling)
การใช้สารเคมีเพื่อผลัดเซลล์ผิวซึ่งจะมีความเข้มข้นที่แตกต่างกัน ถือเป็นการลอกผิวอย่างหนึ่ง โดยสามารถแบ่งการลอกได้3 ระดับ คือระดับผิวชั้นตื้น ชั้นกลาง ชั้นลึก

- การลอกผิวชั้นตื้น จะใช้สารเคมีกลุ่มGlycolic Acid หรือ Lactic Acid หรือที่เรียกว่า AHA จะช่วยลอกได้เพียงผิวชั้นบนสุดทีมีการสะสมของเม็ดสีที่ทำให้เกิดผิวหมองคล้ำในช่วงแรกที่ทำผิวจะเป็นขุยแห้งและลอกเพียงชั่วคราว หลังจากนั้นผิวก็จะดูเนียนและขาวใสขึ้น รอยหมองคล้ำหายไป แต่วิธีการลอกผิวในระดับนี้อาจเห็นผลได้ไม่มาก และผลการรักษาก็อยู่ไม่นาน

- การลอกผิวชั้นกลาง หรือ ผิวชั้นลึก สำหรับการลอกผิวใน 2 ชั้นนี้จะไม่ได้ช่วยในเรื่องของสีผิวเพียงอย่างเดียว แต่จะช่วยในเรื่องของกระ ฝ้า ติ่งเนื้อ และริ้วรอยด้วย การลอกผิวในระดับนี้จะเป็นการลอกระดับที่รุนแรง จะมีเรื่องของการเป็นสะเก็ดแผล หรือมีรอยดำๆ เหมือนหน้าไหม้ อาจจะมีเรื่องของน้ำเหลืองแฉะๆ ในช่วง 1 สัปดาห์ได้เช่นกัน ดังนั้นคนไข้ต้องมีการดูแลผิวเป็นอย่างดี แต่การลอกแบบนี้จะช่วยในเรื่องของริ้วรอยได้เป็นอย่างดี ซึ่งการลอกในระดับนี้จะใช้สารจำพวก Trichoroacetic acid ,Phenol ,Salicylic acidหรือ Resorcinolซึ่งเป็นการลอกระดับรุนแรง ต้องระวังให้มาก เนื่องจากสารบางตัวอาจทำให้เกิดปัญหาในเรื่องระบบอวัยวะภายในเช่น หัวใจหรือไตได้ ซึ่งปัจจุบันจะไม่ค่อยใช้กันแล้ว เนื่องจากปัญหาในการดูแลผิวหลังทำอาจมีปัญหารอยดำหลังทำได้

การกรอผิวด้วยเครื่องกรอ(dermabrasion)
สำหรับการขัดผิวแบบนี้จะเป็นลักษณะเหมือนล้อ หรือสว่าน ซึ่งมีเกร็ดเพชรเล็กๆ ติดปลายอยู่ขัดลงบนผิวหน้า ในขณะที่ล้อหมุนเวียนไปเรื่อยๆ ปลายหมุดเพชรก็จะกรอผิวไปด้วย ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว โดยหลังจากการรักษาแล้วควรพักผิวเป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์หรือ 10 วันก่อนการแต่งหน้า และต้องใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 เดือนกว่าที่รอยแดงจากการรักษาจะค่อยๆ หายไป
ต้องระวังเรื่องรอยดำที่จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้

การลอกผิวระดับตื้น (Microdermabrasion)
เป็นการลอกผิวระดับตื้นด้วยการขัดผิวด้วยผงคริสตัลขนาดเล็ก จะทำให้รู้สึกแสบ ระคายเคืองบ้างเล็กน้อย เป็นการขัดกรอที่อ่อนกว่าเดอร์มาเบรชั่น แต่ช่วยฟื้นฟูความสดใสของผิวชั้นบนสุด ขจัดปัญหารูขุมขนอุดตันและน้ำมันส่วนเกิน หลังจากทำไปแล้วผิวจะแห้งและลอกตามลำดับ ขึ้นอยู่กับความแรงในการกรอผิวด้วย

การผลัดผิวด้วยเลเซอร์
สำหรับการลอกผิวด้วยเลเซอร์สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ เลเซอร์กลุ่ม Ablative และ เลเซอร์กลุ่ม Non-Ablative laser. การลอกผิวแบบablative laser เป็นการลอกผิวในระดับลึก สามารถลอกได้โดยการยิงทำลายผิวหนัง ทำให้เกิดแผลและมีน้ำเหลืองในช่วงแรก หลังจากนั้นใน 1 สัปดาห์จะเริ่มดีขึ้น แต่ปัญหาที่ตามมาคือในเรื่องของรอยแดงและรอยดำหลังยิงเลเซอร์ที่แต่ละคนจะเกิดปัญหาไม่เท่ากัน ถ้าคนผิวขาวอาจไม่มีปัญหามากนัก แต่หากเป็นคนผิวคล้ำอาจจะพบอยู่ประมาณ 5-6 เดือนแล้วเริ่มจางลงแล้วหายไปได้ หลังจากนั้นก็จะมีการพัฒนามาเป็นกลุ่มที่ไม่ทำลายผิวมากนักที่ เรียกว่า Non-Ablative Laser อย่างเช่น fractional laser หรือ long pulsed Nd yag laser เป็นต้น หรืออาจจะเป็น การใช้IPL ก็ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวได้

การดูแลตัวเองโดยรวมหลังทำ Babyface
โดยทั่วไปคนไข้จะทำอะไรที่เป็นเรื่องของการทำ Babyface ไม่ว่าจะ AHA Peeling การขัดผิว หรือเลเซอร์ อย่างแรกเลยที่ต้องระวังคือ หลังทำผิวของคนไข้จะบางแน่นอน แต่จะมากหรือน้อยแตกต่างกัน โดยทั่วไปจะบางในช่วง 1 สัปดาห์แรก ซึ่งการดูแลที่สำคัญคือจะต้องพยายามหลบแดด ทาบำรุงผิวเยอะขึ้นหลังหน้าลอก ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน และใช้ครีมกันแดดที่มีคุณภาพทาในปริมาณที่เหมาะสม ส่วนเรื่องของการแต่งหน้านั้นในบางหัตถการอาจจะมีความลำบากในเรื่องของการแต่งหน้า แต่บางหัตถการก็สามารถจะแต่งหน้าได้เลย

แพทย์แนะนำ
คนไข้เองจำเป็นต้องปรึกษากับแพทย์ก่อนว่ามีปัญหาหรือความต้องการของแต่ละคนมากน้อยแค่ไหน อาจไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะกับทุกหัตถการ คนไข้เองจำเป็นต้องรู้ถึงข้อดีข้อเสีย และค่าใช้จ่ายด้วย เพราะหลายคนที่จ่ายเงินเยอะแล้วความคาดหวังตามมาด้วย ซึ่งบางอย่างก็มีข้อจำกัด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องศึกษาให้ละเอียดก่อนตัดสินใจทำ. ไม่เพียงแค่ดูราคาเป็นตัวตัดสิน. ควรเลือกสถานที่มีมาตรฐาน และมีความน่าเชื่อถือ

ขอบคุณข้อมูล : พญ.พรภุชงค์ เลาห์เกริกเกียรติ
แพทย์ผิวหนังประจำศูนย์ความงาม โรงพยาบาล พญาไท3

Profile: แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนัง (Board of Dermatologist) จากคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook