Be Magazine : มีนาคม 2555

Be Magazine : มีนาคม 2555

Be  Magazine : มีนาคม  2555
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สนุก...คือแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต เต๋อ - ฉันทวิชช์ ธนะเสวี

ความสุขในการใช้ชีวิตของคนคนหนึ่งเกิดขึ้นจากสิ่งใดได้บ้าง...

ความสุขของช่วงเวลาหนึ่งในการเติบโตของคนเราคือสิ่งใด...การได้ใช้ชีวิตควบคู่กับการได้ทำในสิ่งที่รักคือความสุขของคนคนหนึ่งได้หรือเปล่า... มันเป็นตัวตน มันคือสิ่งที่เราเลือก และเราอยู่กับมันอย่างมีความสุข เต๋อ-ฉันทวิชช์ ธนะเสวี

คนให้ฉายานักแสดงร้อยล้าน รู้สึกยังไงบ้าง

รู้สึกเขินๆ นะ จริงๆ แล้วรู้สึกไม่ค่อยชินด้วย คนชอบมองว่าเวลาหนังได้ร้อยล้านมันเป็นเพราะพระเอกนางเอก จริงๆ แล้วมันมีปัจจัยมากกว่านั้นเยอะมาก ตั้งแต่ผู้กำกับ ตั้งแต่คนเขียนบท ตั้งแต่ออฟฟิศจีทีเอช อะไรก็ตามกว่าที่มันจะออกมาเป็นหนังเรื่องหนึ่ง ซึ่งจริงๆ แล้วคนที่ทำให้มันได้ร้อยล้านไม่ใช่พวกเรานะครับ พวกเราทำสิ่งที่ดีที่สุดออกมาแต่ว่าคนที่ทำให้มันเกิดการเป็นร้อยล้านคือคนดู คือคนไปดูแล้วชอบแล้วบอกต่อ คนไปดูแล้วจ่ายเงินมาซื้อมาดูหลายๆ รอบ เพราะฉะนั้นการที่หนังได้ร้อยล้านมันไม่ได้เกี่ยวกับตัวผมหรือตัวนางเอกเป็นส่วนใหญ่ มันเกี่ยวกับทุกๆ คนที่มาดูแล้วชื่นชอบมากกว่า เวลาเขาเรียกผมว่า เอ้า..พระเอกร้อยล้าน ผมจะรู้สึกเขินๆ นะ เหมือนเราแบบว่าไม่ได้ไปคู่ควรกับมันขนาดนั้น

 

 

คุณทำงานมาหลายบทบาท เขียนบท อยู่เบื้องหลังมาบ้าง เล่าให้ฟังถึงแต่ละบทบาทที่ได้ทำจนมาเป็นนักแสดง คุณรู้สึกยังไงกับแต่ละบทบาทที่ได้ทำ

ครับ เอาตั้งแต่เริ่มเลยเหรอครับ จริงๆ แล้วไอ้เส้นทางนี้ของผมมันเริ่มจากตอนตั้งแต่ ม.ปลายแล้ว ม.6 ครับ คือผมจะเรียนสายวิทย์มา ผมจะเรียนเกี่ยวกับวิทย์ อยากจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ อยากจะเป็นหมอ จนผมเริ่มรู้ว่าผมไม่ได้ชอบมันเท่าไหร่ แต่ว่าผมทำได้ แต่ว่ามานั่งคิดดูแล้ว แบบว่าผมต้องอยู่กับมันไป ไปสี่ปีอย่างต่ำ ทำงานก็คือเกี่ยวกับด้านนี้ไปอีกตลอดชีวิต ผมก็อยู่กับสิ่งที่ผมทำได้ แต่ผมไม่ชอบไปตลอดชีวิต ผมก็รู้สึกว่ามันต้องเป็นชีวิตที่แย่ (เน้นเสียง) มันคงจะเบื่อ มันไม่ใช่สิ่งที่เราอยากจะทำในแต่ละวัน ผมก็เลยมาคิดว่าผมอยากทำอะไร คำตอบมันก็ออกมาตอน ม.6 ว่าผมชอบดูหนัง ทีนี้พอดูหนังปุ๊บ ผมก็พยายามจะหาว่ามันมีคณะอะไรบ้างที่มันเรียนเกี่ยวกับหนัง เกี่ยวกับภาพยนตร์ ก็มาเจอจะมีนิเทศฯ จุฬาฯ สาขาภาพยนตร์ ซึ่งที่นี่แหละทำให้เส้นทางชีวิตของผมในทุกๆ วันเกิดขึ้นครับ

เพราะตั้งแต่ผมเรียนที่นี่ปี 1 2 3 4 ก็คือเรียนเกี่ยวกับภาพยนตร์แล้วผมรู้สึกสนุกแล้วก็มีความสุขมาก ซึ่งนอกเหนือจากนั้นสิ่งที่ดีคือผู้ชายน้อย อาจจะงงว่าเกี่ยวอะไร แต่จริงๆ แล้วพอผู้ชายมันน้อยมันทำให้ผู้ชายสนิทกัน พอผู้ชายสนิทกัน ผมก็สนิทกับพี่ที่จบไปแล้ว สนิทกับพี่ที่ยังไม่จบ สนิทกับน้องๆ สนิทกับทุกคน ทุกคนจะมีกิจกรรมผู้ชายที่รวมๆ กัน อาจจะฟังดูเกย์นะ (หัวเราะ) แต่แบบผู้ชายทุกคนจะชอบมาแฮงค์เอ้าท์ ชอบมาเจอกัน แล้วทีนี้หลายครั้งที่พวกพี่ๆ เขาก็เติบโตไปเป็นผู้กำกับ ไปเป็นคนโน้นคนนี้ เขาก็จะดึงน้องๆ มาช่วย ผมก็จะได้เริ่มต้นงานเกี่ยวกับภาพยนตร์ก็ตั้งแต่ตอนนั้น งานแรกในชีวิตเกี่ยวกับภาพยนตร์คือ ไปยืนหน้าโรงหนังครับแล้วก็ถือกล้องตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง แล้วก็คอยสัมภาษณ์คนที่เดินออกมาว่า เป็นไงบ้างครับ หลังจากชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ตอนนั้นเป็นหนังเรื่องหมอเจ็บ นานมากแล้วครับ หมอเจ็บพันธุ์เอ็กซ์เด็ดสุดขั้ว สองเรื่องนี้ก็ทำกับพี่อีกคนหนึ่งแล้วก็เพื่อนอีกคนหนึ่งรวมเป็นสามคนในทีม

ซึ่งพี่คนนั้นปัจจุบันเขาเป็นพวกมือตัดต่อแล้วก็ทำของที่แกรมมี่ครับ ส่วนเพื่อนอีกคนหนึ่งคือผู้กำกับเอทีเอ็มเออรักเออเร่อ ซึ่งเพื่อนคนนี้กับผมก็ช่วยเป็นลูกมือให้กับพี่เขาไปเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ แล้วก็ทีนี้พอมีงานอันนี้ พี่คนนี้รู้จักดึงเราไปทำงาน คนอื่นก็มา เอ้ย..ไอ้เต๋อทำได้นี่ ก็ดึงไปทำนู่นทำนี่ครับ จนได้ทำมาเรื่อยๆ ระหว่างเรียนครับ ผมกับเพื่อนคนนี้ก็จะมีเส้นทางไปคล้ายๆ กัน จนเรียนจบ พอเรียนจบไอ้เพื่อนคนนี้มันทำหนังสั้น แล้วก็หนังสั้นเรื่องนั้นคนชอบมากครับชื่อว่า ‘มนต์รักซักรีด' คนจะชอบมากแล้วก็บังเอิญเหลือเกินคนที่มาดูในวันนั้น มีพี่เก้ง จิระ มะลิกุลมาดูด้วย แล้วก็บอกว่าเฮ้ย...เรื่องนี้น่าสนใจ อยากจะแบบขยายมันออกมาเป็นอะไรสักอย่างที่มีไอเดียแบบนี้ เป็นหนังเรื่องหนึ่ง ทีนี้ก็เลยชวนเมษ เพื่อนผมคนนี้มาเขียนบท

แต่เมษบอกว่าเขาเขียนบทไม่ค่อยเก่ง ไอ้เรื่องนี้ที่ทำกันมาก็คือช่วยกันเขียนกับเพื่อนๆ ก็มีผมด้วย ผมและเมษและเพื่อนอีกประมาณ 3-4 คนครับก็เลยได้มารวมกัน เขียนบทหนังภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต คือเรื่อง ‘เก๋า เก๋า' ครับ ตอนนั้นที่พี่บอลกำกับ ซึ่งระหว่างเขียนบทด้วยความที่เราไม่เก่ง เราไม่เคยเขียนมาก่อน เวลาที่ใช้เขียนบทเรื่องนี้คือปีครึ่ง ซึ่งตลอดระยะเวลาปีครึ่งนั้น มันต้องกินต้องใช้ นึกออกเปล่า เราไม่มีเงินแล้วต้องมานั่งเขียนบททุกวัน เฮ้ย...ผมแบบมันไม่มีอะไรจะกิน ไม่มีรายได้เข้ามาก็เลยต้องหางานเสริมทำ ก็เลยมาขอพวกพี่ๆ ที่จีทีเอชครับว่า เฮ้ย...พี่มีงานอะไรให้ทำบ้างครับ นั่นก็เป็นที่มาของงานเบื้องหลังที่ผมได้ทำอีกเยอะแยะเลย อาทิเช่น แอคติ้งโค้ช เป็นฟรีแลนซ์ครับ เป็นแอคติ้งโค้ชบ้าง เป็นผู้ช่วยผู้กำกับบ้าง เป็นเอ่อ...ตากล้องเบื้องหลังบ้าง คือถือกล้องไปในกองถ่ายแล้วคอยถ่ายการทำงานของเขา

ตอนนั้นมันมากับความสุขด้วยไหม

หูวว...สนุกมากครับ ชีวิตผมตั้งเป้าความฝันไว้คืออยากเป็นผู้กำกับ ผมรู้สึกว่าทุกๆ วันที่ผมได้ทำ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบทหรือว่าไปออกกอง มันคือการเรียนรู้ เรียนรู้เพื่อที่วันหนึ่งเราจะได้เป็นผู้กำกับที่เก่งที่ดีได้ครับ

เพราะหนังพามาทุกวันนี้

ใช่ครับ เพราะว่าผมดูหนังเรื่องหนึ่งคือเรื่อง Brave Heart ตอนนั้นของเมล กิ๊บสัน แล้วผมรู้สึกว่า ฮุ๊ย...คือ ตอนแรกที่ไปดูเลยคือรู้สึกว่ามันเป็นหนังแอ็คชั่น เอ้ย...ชอบดูหนังแอ็คชั่นคงมันส์ดี แต่พอไปดูปุ๊บมันได้อะไรกลับมาเยอะมาก ความตื้นตัน ความประทับใจ ความมันส์ ความสะใจ โอ้โหแบบว่าได้ทุกรสเลยครับ แล้วมันรู้สึกว่า เฮ้ย...มันทำได้ไง อยากรู้กลวิธี อยากรู้วิธีของเขา จุดที่ทำให้ผมแบบเข้ามาเรียนเกี่ยวกับภาพยนตร์ครับ

การที่เราได้รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังทุกอย่าง พอเรามาเป็นนักแสดงมันทำให้เราเข้าใจตัวละคร เข้าใจการทำงานมากกว่าคนทั่วไปไหม

เข้าใจกว่านะครับ จะเข้าใจมากกว่า แต่ว่ามัน...มันก็เหมือนแบบมันมากับความกดดันบางอย่าง การที่เราได้รู้อะไรล่วงหน้า อย่างเช่น กวน มึน โฮ อย่างนี้ ได้เขียนบทด้วยก็มาเล่นด้วยใช่ไหมครับ ถึงแม้จะเขียนเป็นทีมก็ตามแต่ว่าเราก็จะรับรู้บทก่อนที่จะมาเล่นจริง มันก็จะเป็นความกดดันนิดหนึ่ง


แล้วเราใส่ความเป็นตัวเองลงไปในการเขียนบทด้วยหรือเปล่าครับ

ใส่ครับผม จริงๆ เขาดึงผมมาเขียนเนื่องจากว่าต้องการความเป็นตัวตนผมนี่แหละ ทีนี้ความกดดันก็จะเกิดขึ้นเวลาที่เราทำไม่ได้ หรือบางฉากที่เราทำได้ไม่ดีนัก แบบว่าอาจจะต้องใช้ความพยายามเยอะครับเพราะว่าเราจะรู้สึกว่าเราเขียนมาเอง ทำไมเราจะเล่นไม่ได้ เราก็จะรู้สึกกดดัน

คือมันไม่ได้จำเป็นต้องเล่นจากตัวตนของเรามากนัก อย่างนั้นไหม

ทุกวันต้องเป็นตัวตนเราครับ หมายความว่าต่อให้เราเล่นดราม่าก็ตาม สิ่งที่เราคิดอยู่ในใจ อะไรทุกอย่างมันต้องเป็นความจริง มันต้องคิดต้องเชื่อตรงนั้นจริงๆ ทุกครั้ง แต่ทีนี้ความท้าทาย คือผมไปเล่นดราม่าไม่มีปัญหาหรอก ผมก็จะพยายามเล่นให้ดีที่สุดเหมือนตอนเล่นคอมเมดี้หรือว่าเล่นโรแมนติกอะไรก็ตาม แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือคนดูนี่แหละ เขาจะติดภาพนี่แหละครับ

 

 

ความตลกของเรา

ใช่ บางคนบอกว่า เอ้ย...เห็นหน้าเต๋อก็ตลกแล้วอะไรอย่างนี้ เอ้ย...เห็นหน้าก็ขำแล้วอะไรอย่างนี้ ซึ่งผมก็รู้สึกว่าถ้ามองในแง่ดีมันก็ดี ถ้าเราอยู่ในหนังตลกคนก็จะเชื่อได้ เรื่องนี้ตลกชัวร์ พี่เต๋อเล่น แต่ถ้ามองในแง่ร้ายเลยก็คือว่า ในฐานะนักแสดงมันไม่มีใครอยากถูกจดจำไปในแบบเดียวหรอกครับ เพราะว่านักแสดงมันคือการสวมบทบาทเป็นคนอื่นไงครับ เพราะว่าถ้าเราสวมบทบาทเป็นคนอื่นแล้วคนไม่เชื่อ โอ๊ย...คนนี้ต้องตลกสิ คนนี้ต้องฮาสิอะไรอย่างนี้ มันก็จะทำให้ทางมันตันเร็ว มันก็จะไม่มีหนทางในรูปแบบอื่นครับ ก็เลยมีความเครียดเหมือนกัน

งั้นถามในฐานะเป็นผู้ชาย วัยรุ่นคนรุ่นใหม่บ้างครับ ทุกวันนี้คุณใช้ชีวิตยังไงครับ ไลฟ์สไตล์ของคุณ

ชอบดูหนังครับ เหมือนเดิมครับคือยังคงดูหนังอยู่เรื่อยๆ ถ้ามีเวลาว่างก็จะดูตลอดนะ ซื้อดีวีดีบ้าง ซื้อบลูเรย์บ้าง หรือไม่ก็ไปดูตามโรงภาพยนตร์บ้าง

ยังเข้ามารับบทบาทเบื้องหลังอยู่ไหม

ทำอยู่ครับ ทุกวันนี้ก็ยังเขียนบทหนังอยู่ครับ เพียงแต่เวลาไปออกกอง หรือว่าเวลาไปเป็นทีมงาน อาจจะไม่มีเวลาขนาดนั้น

คนในจีทีเอชเองจะปฏิบัติตัวกับคุณเป็นดาราหรือเป็นเบื้องหลังครับ

เป็นเบื้องหลังครับ ก็คือว่าทุกคนจะเห็นผมแบบเพิ่งเข้ามาครับ ผมยาว หนวดเครารุงรัง ถือกล้องมาถ่ายนู่นถ่ายนี่ ทุกคนก็จะด่าทอ เฮฮา สนุกสนาน ซึ่งทุกวันก็ยังด่าทออยู่ครับ รู้สึกดีครับ

ถ้าวันนี้ไม่ได้ชอบดูหนัง คุณคิดว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ เป็นนักวิทยาศาสตร์ไหม หรือเป็นอะไร

คิดว่าน่าจะขายเหล็กอยู่ เพราะที่บ้านผมขายเหล็กครับ คุณพ่อผมทำอยู่ คิดว่าถ้าไม่ได้ทำอาชีพตรงนี้ก็คงน่าจะขายเหล็ก ดูไม่ค่อยเข้าเหมือนกัน แต่ว่าจะพยายามขายให้ดีที่สุด

เราจะเป็นคนขายเหล็กที่มีความสุขที่สุดไหม

โหย...ตอบยากเหมือนกัน คือทุกวันนี้ผมมีความสุขกับสิ่งที่ผมทำครับ ซึ่งการขายเหล็กผมจะมีความสุขไหม ผมยังไม่รู้หรอกว่าผมจะมีความสุขไหม แต่ว่าถ้าให้ผมคิดนะผมว่าคงจะไม่สนุกเท่ากับที่ผมทำอยู่ตอนนี้ครับ แต่ว่าผมก็ต้องหาทางหาความสุขจากมัน คืออย่างตอนเรียนสายวิทย์ ผมก็ไม่ได้ชอบมันหรอก แต่ว่าผมก็ต้องหาสิ่งที่ผมสนุกกับมันครับ เช่นแบบวิชาชีวะอย่างนี้ วิชาชีวะก็ต้องจำต้องท่อง ผมก็จะมองให้มันเป็นเรื่องเป็นราว มันก็จะสนุกดี คนเรามันเกิดจากอะไร เริ่มต้นจากอันนี้ ถ้ามองว่ามันสนุก มันก็จะมีแง่มุมสนุกของมันอยู่ครับ

คิดว่าคุณเป็นคนได้โอกาสหรือเปล่า เป็นคนวิ่งเข้าไปหาโอกาส หรือโอกาสวิ่งเข้ามาหาคุณ

โอกาสวิ่งมาหาผมครับ แต่ผมโชคดีที่ผมพร้อมพอดี ผมรู้สึกว่าคนเรามันวิ่งหาโอกาสไม่ได้ครับ โอกาสมันไม่ใช่สิ่งที่เราควบคุมได้ เพียงแต่ว่าสิ่งที่เราควรจะทำได้ดีที่สุดคือเราจะต้องพร้อมสำหรับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตเรา ดังนั้นเรามัวแต่ไปนั่งรอโอกาส หรือวิ่งไปหาโอกาสมันยากครับ เอาง่ายๆ อย่างประกวดเดอะสตาร์ ประกวดเอเอฟ มีตั้งกี่คนใช่เปล่าครับ แล้วก็มันไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับเลือกเข้าไปเป็นคนที่เขาชื่นชอบ เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะวิ่งแค่ไหนไม่ได้หมายความว่าเราจะประสบความสำเร็จ เราต้องมีความพร้อมครับ

ทุกวันนี้คุณในปัจจุบันกับคุณในอดีตแตกต่างกันมากน้อยขนาดไหนครับ วิธีคิดแตกต่างกันมากไหมครับ

แก่ขึ้นครับ ในอดีตจะเด็กกว่า จริงๆ วิธีคิดก็เปลี่ยนไปเยอะนะครับ เด็กๆ ผมจะรู้สึกว่าผมทำอะไรจะค่อนข้างเห็นแก่ตัว คือทำอะไรให้ตัวเองอย่างเดียว ไม่ได้คิดถึงคนอื่นเท่าไหร่ มีความสุขไหมมีความสุขนะเพราะว่าเราทำให้ชีวิตมีความสุข ไม่ได้คิดว่าคนอื่นจะต้องมีความสุข

อะไรที่ทำให้คุณคิดว่าเราเป็นคนเห็นแก่ตัว และอะไรทำให้คุณเปลี่ยนไป

การทำงานครับ คือสมัยก่อนตอนเด็กๆ ผมรู้สึกว่าเวลาเราเรียน เราสอบเราได้เกรดมันเป็นของเราทั้งหมด เราพยายามทำให้ดีกว่าเพื่อน เพราะถ้าเพื่อนได้ดีกว่าอันดับเราก็จะตกลงไป ถูกเปล่าครับ

เหมือนว่าเราต้องแข่งกับตัวเองแล้วต้องแข่งกับเพื่อน

คือเราต้องทำเพื่อตัวเองทุกอย่าง อ่านหนังสือเราอ่านเพื่อตัวเอง เราอยากได้อะไรเราก็ทำเพื่อตัวเอง ทีนี้พอผมโตขึ้น ผมได้มาทำหนังทำอะไรที่นี้มันคือเรื่องของทีม การที่หนังเรื่องหนึ่งมันได้ตังค์เยอะเป็นหนังที่ดีๆไม่ใช่ว่าผมเล่นเก่ง เป็นหนังที่ดีที่สุดในโลก ผมไปเล่นป๊าบ โอ๊ย...เดี๋ยวหนังก็ได้ตังค์มันไม่ได้ไงครับ ถ้าคุณอยู่ในบทที่ห่วยมาก อยู่ในหนังที่ไม่มีใครเขาดู คุณก็ไม่มีทางดัง ไม่มีทางมีชื่อเสียง

เรื่องเหล่านี้มันถูกปลูกฝัง จากที่คุณเข้ามาทำเบื้องหลังด้วยใช่ไหมครับ

ใช่ครับ พี่ๆ เขาไม่ได้สอนโดยตรงนะครับ แต่ว่าผมจะรู้ด้วยตัวเองว่าสิ่งที่ผมทำ ถ้าจะให้มันดีที่สุดผมต้องได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อน จากคนอื่นๆ ซึ่งคนอื่นถ้าเขาจะทำงานได้ดีเขาก็ต้องได้รับการช่วยเหลือจากผมเหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันเหมือนเกื้อหนุนกันครับ ต่างคนต่างช่วยกัน

อยากให้คุณมองสังคมไทยในตอนนี้ว่าเป็นยังไง

จริงๆ จากที่ผมสัมผัสมาผมว่าประเทศไทยสบายสุดแล้วนะ เออ...สบายสุดในโลกแล้ว มันเหมือนว่าเราไม่ได้เร่งรีบกับอะไรมาก เพียงแต่ว่าปัญหามันคือการที่มันสบายมากเกินไปนี่แหละ มันทำให้บางทีเราไม่เกิดความกระตือรือร้นที่จะทำสิ่งดีๆ ครับ สังคมไทยมักจะปลูกฝังมาว่าคนเราทำให้ผ่านตามเกณฑ์ถือว่าโอเคแล้ว แต่ว่าไม่มีการสอนว่าให้ทำให้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นหลายคนจะรู้สึกว่ามันทำเต็มที่กว่านี้ได้ แล้วกลับมาย้อนคิดก็จะเสียใจภายหลังซะเป็นส่วนใหญ่อะครับ ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกับสังคมไทยหรือเปล่านะ ผมรู้สึกว่าบางครั้งมันสบายเกินไปหน่อยนะครับ มันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ อย่างผมผมก็เคยผ่านช่วงเลวร้ายในชีวิตการแสดงอะไรมาก็เยอะแยะ ได้รางวัลทุเรียนเน่าหรืออะไรอย่างนี้ โดนด่าโดนอะไรมาเยอะ ผมก็เลยรู้สึกว่ามันก็ต้องสู้ครับ มันถึงจะได้สิ่งที่ดีดีกลับมา

ทุกวันนี้ถ้าถามว่าไอ้รางวัลทุเรียนเน่าอะไรอย่างนี้ มันคนละเรื่องกันเลย แล้วคุณผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ยังไง ช่วงที่มันเลวร้ายที่คุณบอก

ผมมองว่ามันเป็นเครื่องเตือนใจผมนะ คือผมนึกขอบคุณรางวัลนั้นมากเลย เพราะว่าก่อนหน้านี้ผมก็เป็นอย่างนี้แหละ เล่นหนังก็เล่นๆ สบายๆ ไม่ได้ซีเรียสอะไรมาก คือผู้กำกับอยากได้อะไรเราก็พยายามทำให้มันเป็นอย่างนั้นครับ ไม่ได้เกิด passion ไม่ได้มีความพยายามมากขนาดนั้นนะครับ พอจนเจอรางวัลนี้เข้าไปก็โอ้โห มันเหมือนพลิกชีวิตเลย คือถ้าสมมุติว่าคุณเป็นนักแสดง อาชีพคุณคือนักแสดงได้เงินจากการแสดง

แต่ว่าคุณเป็นนักแสดงที่แย่ ได้รางวัลนักแสดงยอดแย่ อีกหน่อยเส้นทางชีวิตคุณจะเป็นยังไง มันก็คือคนที่ทำสิ่งที่ตัวเองหาเลี้ยงชีพได้ไม่ดีครับ อีกหน่อยก็ไม่มีใครจ้าง ผมก็เลยรู้สึกว่ามันก็เป็นแรงผลักดันให้ผมทำให้ดีขึ้น ก็ไปเรียนการแสดง พยายามตั้งใจ พยายามหาข้อมูลเยอะขึ้นอะไรอย่างนี้ครับ ซึ่งมันก็ทำให้ผมไม่รู้เหมือนกันนะหรือผมคิดเอาเองว่ามันทำให้ผมเป็นนักแสดงที่ดีขึ้นครับ อาจจะไม่ได้แสดงเก่งขึ้นมากแต่ว่ามีความพยายามมี passion เพิ่มขึ้นครับ

 

 

อะไรคือความงดงามในชีวิตคุณครับ

ความงดงามเหรอครับ... (นิ่งนาน) อืม...น่าจะเป็นความฝันนะครับ คือผมรู้สึกว่าสิ่งที่ดีมากๆ ของผมในแต่ละวันคือว่าผมมีความฝันมีเป้าหมายในชีวิตครับ คือรออยู่ อยากจะเป็นผู้กำกับ อยากจะทำหนังดีดีออกมาสักเรื่องหนึ่ง ซึ่งมันยังไม่ได้ตรงนั้นมา มันก็เลยทำให้ชีวิตผมทุกๆ วันมีเป้าหมาย และพยายามจะไปให้ถึงจุดนั้นครับ ซึ่งผมก็รู้สึกว่า เฮ้ย...ถ้าสมมุติว่าผมเกิดมาแล้วแบบรวยมากมีเงินพันล้าน แล้วก็อยากได้อะไรแล้วได้หมดทุกอย่าง ผมจะสูญเสียสิ่งนี้ไป สูญเสียความฝัน โกลเป้าหมายในชีวิตผม

ตอนที่เราตายเราจะตายไปกับอาชีพอะไรดี

อื้ม...เหมือนแช่งเหมือนกันนะ (ฮา) ก็คงจะเป็นผู้กำกับนี่แหละครับ ผมคิดว่าก่อนผมตายผมต้องบรรลุความฝันนี้ให้ได้ ผมเคยคิดไว้เล่นๆ นะว่างานศพผม ด้วยความที่ผมเป็นคนสนุกสนาน ผมเคยคิดว่ารูปงานศพผมจะเป็นแบบสี่เหลี่ยมครับ เป็นเหมือนภาพนิ่งแหละ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นภาพวิดีโอ แต่ว่าหลอกว่ามันเป็นภาพนิ่ง พอไปสักพัก ผ่านไปสักพัก แฮ่!!! (ทำท่าหลอก) อย่างนี้ครับ คนก็จะเฮ้ยยยยยยยย!! ชิ้ง (ทำท่าเก๊กหล่อ) อะไรอย่างนี้ครับ หลายๆ ท่า

อะไรคือแรงบันดาลใจของคุณในทุกวันนี้ครับ

แรงบันดาลใจของผมเหรอครับ ความรักนี่เท่เปล่า แต่ว่าไม่ใช่ในเรื่องผู้หญิงแฟนอะไรอย่างนี้อย่างเดียวนะครับ แต่ว่าในทุกสิ่งที่ผมทำผมดีใจมากเลยที่ผมได้อยู่ในสิ่งที่ผมรักตลอดเลย ตั้งแต่เด็กคนหนึ่งที่ชอบดูหนัง จนถึงทุกวันนี้ได้ทำงานเกี่ยวกับหนังครับ ทุกวันมันเลยไม่เหมือนทำงาน เราอยากจะทำสิ่งดีๆ เราอยากจะทำสิ่งที่เรารักอะไรอย่างนี้ครับ

อะไรคือเสน่ห์ในวิถีการดำเนินชีวิ

อ๋อ...ผมว่าผมเป็นนักแสดงที่ไม่ค่อยเหมือนเป็นดาราเท่าไหร่ คือผมจะไม่รู้ว่าตัวเองดังเท่าไหร่ครับ คงใช้ชีวิตปกติ มีคนขอถ่ายรูปก็รู้สึกดี ผมรู้สึกดีใจ มีคนจำเราได้ มีคนคุยกับเรา คือบางคนเขาจะกลัวการไปเจอพบปะผู้คน แต่ผมไม่ค่อยกลัว ผมก็รู้สึกว่าผมก็คือคนเหมือนกัน

เพราะเข้ามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เริ่มต้นตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นดาราหรือเปล่าครับ

ใช่ คือผมรู้สึกว่า ดาราบางครั้งถูกให้ค่ามากเกินไป ผมรู้สึกว่าเขาก็คือคนแหละ คือผมรู้สึกว่าไอ้การไปให้ค่าเขามากเกินไปมันไม่ได้ดีกับเขานะ เออ...เขาจะรู้สึกอึดอัดนะ มันก็เลยกลายเป็นข้อเสียครับ แต่ผมเคยอยู่ในกองเบื้องหลังมาก่อนผมก็จะรู้ว่าไอ้คนทำเบื้องหลังเหนื่อยกว่าดาราเยอะเลยนะ พวกพี่ช่างไฟ คนเหล่านั้นก็ถูกให้ค่าแต่ว่าถูกให้ค่าไม่เยอะเท่าที่เขาควรจะได้ ซึ่งคนที่จะได้มากที่สุด แน่นอนคือนักแสดง ซึ่งเราไม่ได้มองว่าทีมงานทุกคนเขาทำงานที่เหนื่อยด้วยค่าจ้างที่ไม่ได้เยอะ เหงื่อแตกเหงื่อแตนทำเพื่อให้คุณดังนะ ซึ่งผมมักจะรู้สึกทุกครั้งว่าทีมงานทุกคนเขาสอนอะไรผมหลายๆ อย่าง ง่ายๆ แบบว่าถ้าตากล้องเขาไม่ถ่ายให้เราดูดีเราจะดูดีไหม ไฟก็จัดให้เราหน้าวอกอย่างนี้

ในฐานะอยู่ในแวดวงนี้มา คุณเคยสังเกตพฤติกรรมผู้บริโภคไหมว่ามันเกิดจากอะไร ค่านิยมที่ปลูกฝังกันมาหรือว่าอะไร หรือว่าการตลาดเราสู้เขาไม่ได้

เอาจริงๆ เลยใช่ไหมครับ เอาจริงๆ เลยมันมาจากที่ว่าคนไทยส่วนใหญ่นิยมความเป็นฝรั่งมากกว่า คนไทยมักจะชื่นชอบสิ่งที่ไม่ใช่เป็นคนไทย มากกว่าคนไทย เช่น วงเกาหลี หรือว่าดาราฮอลลีวู้ด หรือว่านักร้องญี่ปุ่นอะไรอย่างนี้ครับ คนไทยที่ได้รับการยอมรับมาก แบบว่ากรี๊ดกร๊าดมากคือคนไทยที่ดังในต่างประเทศ อย่างเช่น นิชคุณ อะไรอย่างนี้ครับ หรือว่าอย่างพี่ป้องอย่างนี้ พี่ป้องตอนแรกคนก็ชื่นชอบในระดับหนึ่ง

พอเขาไปดังในจีนปุ๊บ เขาก็มาดังในไทยอีกครั้งครับ ผมก็เลยรู้สึกว่าคนไทยมักจะไปชื่นชอบอะไรที่ต่างชาติเขายอมรับก่อนนะ แทนที่เราจะยอมรับในตัวเราเองอะไรอย่างนี้ครับ มันก็เลยทำให้หนังที่ได้รับความนิยมส่วนใหญ่ก็จะเป็นหนังต่างประเทศมากกว่าหนังไทยอะไรอย่างนี้ครับ แต่ก็โทษคนดูไม่ได้หรอก มันก็มีบางส่วนที่หนังไทยบางเรื่องมันก็ไม่ดีจริงๆ ครับ แล้วก็พอมันออกมาติดๆ กันหลายเรื่อง อะไรหลายๆ อย่าง หลายครั้งๆคนก็จะเกิดอารมณ์แบบ โอ๊ย...ดูหนังฝรั่งดีกว่า อย่างน้อยก็มีฉากแอ็คชั่นมันส์ๆ คุ้มอะไรอย่างนี้ครับ

เป้าหมายในชีวิตของคุณ ถ้าไม่นับการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์มีอย่างอื่นอีกไหมครับ

มีลูกครับ ผมอยากมีลูกแต่งงานมีลูกอะไรอย่างนี้ครับ อยากมีเต๋อตัวเล็กๆ วิ่งเล่นอยู่ที่บ้านครับ (ยิ้ม)

กับใครครับ

ก็คงต้องกับแฟนครับ แฟนคนนี้แหละครับ ครับผม ถ้าตอบคนอื่นไปก็จะมีปัญหากับชีวิตครับ (ฮา)

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook