ฺBe Magazine : กุมภาพันธ์ 2555

ฺBe Magazine : กุมภาพันธ์ 2555

ฺBe Magazine : กุมภาพันธ์ 2555
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ความหมายของการอยู่ด้วยกัน
บอย-ตรัย ภูมิรัตน

 

 


เรื่องยากๆ เราสามารถหาคำตอบได้จากวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าเรื่องของความรักที่เชื่อมโยงและซับซ้อนของความรู้สึก เรากลับหาใครสักคนมาให้คำตอบและอธิบายไม่ได้ มันคงเป็นเรื่องยากอยู่เหมือนกัน หรือแท้จริงแล้วเรื่องของความรัก อาจไม่ได้มีไว้เพื่อตอบคำถามของใคร เรื่องราวของความรักคงมีไว้เพื่อให้เราเชื่อ เชื่อว่ามีอยู่จริง ก็คงเหมือนกับเรารู้ว่า ความรักมีพลัง วิทยาศาสตร์อาจอธิบายทฤษฎีสัมพันธภาพได้ แต่อาจไม่สามารถอธิบายความรักได้ แล้วความหมายของ การอยู่ด้วยกันมันพอมีคุณค่าให้เราต่างได้ค้นหากันหรือไม่ ชายหนุ่มที่เขียนเพลงด้วยความรักอย่าง บอย-ตรัย ภูมิรัตน ชายที่ป้วนเปี้ยนและใส่ใจในรายละเอียดของความสัมพันธ์ น่าจะให้คำตอบได้ในความหมายของการอยู่ด้วยกัน

 


จริงๆ แล้วการอยู่ด้วยกัน มีความจำเป็นมากน้อยขนาดไหนที่เราจะต้องเหมือนกันทุกสิ่งทุกอย่างไหม หรือว่าต้องมีสิ่งใดเชื่อมโยงกันไหม?

คือถ้าคนสองคนถ้าจะต้องมาอยู่ด้วยกัน ผมว่ามันไม่น่าจะต้องเหมือนกันหมดนะ ถ้าเหมือนกันหมดแล้วมันก็ลำบาก เราว่าสิ่งที่เราต้องการมันต้องมีสองอย่าง มันก็ต้องมาแย่งกัน เราน่าจะมีโลกในแบบของเรา เขามีโลกในแบบของเขา แล้วก็อยู่ด้วยกัน มีเรื่องที่เราไม่รู้จักเขาให้เราเรียนรู้ไปเรื่อยๆ อะไรอย่างนี้น่าจะอยู่ไปได้นานๆ กว่า มีอะไรให้ได้ค้นหา

เวลาที่คุณแต่งเพลง คุณเลือกที่จะหยิบยกประเด็นเนื้อหาความรักมาจากอะไร อะไรเป็นแรงบันดาลใจในการหยิบยกเรื่องราวแต่ละมุม ประเด็นแต่ละเพลงๆ?

ก็เป็นเรื่องที่เราประทับใจครับ เราต้องเอาตัวเราก่อน เพราะว่าเราต้องรู้สึกแบบลืมเรื่องนั้นไม่ได้ แบบว่าเกิดเรื่องนั้นแล้วเราหลับไปแล้ว แต่ว่าเราตื่นขึ้นมาเรายังเก็บเรื่องนั้นมาคิดอยู่อย่างนี้ครับ แปลว่าเราประทับใจเรื่องนั้นไง เราอยากพูดถึงเรื่องนั้น ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือไม่ดีนะ เรื่องที่แบบเรื่องเศร้าหรือเรื่องแฮปปี้หรือเรื่องอะไรก็ตามที่เราเจอของใคร ถ้าเราประทับใจ มันต้องประทับใจมันถึงจะมาเขียนได้ ถ้าแบบเป็นเรื่องเฉยๆ เราก็จะไม่มีพลังพอที่จะพูดถึงมัน

มันต้องเป็นเรื่องที่เกิดกับตัวเราเองด้วยไหมครับ หรือว่าจริงๆ เราอาจจะประทับใจกับความรู้สึกของคนอื่นก็ได้?

เอ่อ... ได้ทั้งหมด แต่ส่วนมากก็จะเป็นคนประทับใจง่าย

ทำไมคุณถึงเป็นคนที่ประทับใจอะไรง่ายครับ?

ไม่รู้เหมือนกันนะ (หัวเราะ) มันก็ค่อยๆ หล่อหลอมมานะ เราก็คือแบบดูเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของคนอื่น

เราต้องเป็นคนที่ชอบสังเกตพฤติกรรมมนุษย์ด้วยไหมครับ?

สังเกตแต่ว่าไม่ถึงขั้นส่องกล้อง (หัวเราะ)

ไม่ต้องละเอียดมาก ไม่ต้องไปเฝ้าจับ?

ก็คือประทับใจทั่วไป เหมือนคือถ้าประทับใจลึกซึ้งเกินไป ผมว่ามันก็อาจจะไกลตัวไปไง คือเรื่องประทับใจจริงๆ เรื่องที่ผมจะประทับใจมันจะเป็นเรื่องที่เป็นธรรมชาติ เรื่องที่ไม่เสแสร้ง เรื่องที่มันเกิดขึ้นจริงๆ และก็เราปรับใช้กับชีวิตเราได้

การบาลานซ์ความประทับใจของคุณสมัยแต่งเพลงแรกๆ กับสมัยนี้มีความแตกต่างกันมากน้อยขนาดไหน ความหวือหวาของเนื้อหา?

ก็ดูตามเพลงเลย มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ

มุมมองเราโตขึ้น?

มันก็โตขึ้น มันก็เหมือนกับมันก็เรียนรู้อะไร บางทีมันอาจจะประทับใจเรื่องเดิมนี่แหละ แต่ว่าพอยิ่งโตขึ้นมันก็ไม่ค่อยตีโพยตีพาย

ไม่เวิ่นเว้อเหมือนสมัยเรียน ชีวิตวัยรุ่นอะไรอย่างนี้ใช่ไหม?

ใช่ คือเมื่อก่อนดูจากเพลงจะรู้ว่า เพลงของเรา มันก็จะมุขเวลาเศร้ามันก็จะบอกหมดเลย หรือว่าจะฟูมฟายหรือว่าจะรู้สึกยังไงมันก็จะตรงๆ แต่ว่าพอยิ่งโตขึ้นมันก็เหมือนกับพยายามจะเข้าใจเรื่องเหล่านั้นมากขึ้น แล้วก็บางทีประทับใจแหละแต่ว่าพอด้วยอายุมากขึ้นมันก็อาจจะนิ่งขึ้น (หัวเราะ) แหม...ไม่อยากยอมรับเลย

คือผมมีความรู้สึกว่าเรื่องความรัก คือรุ่นพ่อรุ่นแม่เราก็คงพูดกันมานานมาก พอมาถึงรุ่นเราก็ยังพูดกันอยู่ มันพอที่จะสรุปได้ไหมครับว่านิยามของความรักคืออะไร?

หูย... บางทีมันก็ไม่ต้องหาคำตอบก็ได้นะ

บางทีเราก็ไม่ต้องหาคำตอบ มันอาจจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง อะไรก็ได้แล้วแต่จะคิดกันไป?

มันน่าจะเป็นพลังงานที่ทำให้เราแบบตื่นขึ้นมามีวันใหม่ ตื่นขึ้นมาแล้วเราใช้ชีวิตแบบมีชีวิตชีวาเพราะมีความรักอยู่ ไม่ว่าในสิ่งของ การงาน คนรัก ครอบครัว หรือของรอบตัวเรา ของสมบัติบ้าอะไรของเราก็ตาม พวกนี้มันทำให้เราอยากมีวันรุ่งขึ้นไง

คุณมองว่าสิ่งใดที่มันเป็นสิ่งที่ถูกมองข้ามครับ ระหว่างที่เรากำลังมีความสัมพันธ์ มีความรักหรือว่ากำลังดำเนินชีวิตไปกับคนที่เรารู้สึกดีด้วย มักจะถูกมองข้ามบ่อยๆ?

เรามักจะคิดว่าเขาน่าจะคิดอย่างเรา อันนี้มักจะทำให้เป็นปัญหา คือว่าความสัมพันธ์ของมนุษย์ ถ้าเมื่อไหร่ที่เราไปคาดหวังว่าเขาควรจะคิดแบบที่เราคิดสิ หรือว่าเขาน่าจะรักเราเท่าที่เรารักเขา มันจะกลายเป็นมันไม่มีวันเท่ากันได้อยู่แล้ว ความรัก หัวใจคนใช่ไหม ฉะนั้นเราอาจจะไปคิดว่าเขามองข้ามเราไป หรือว่าเขาแบบเอามาเปรียบเทียบความรักกัน ทั้งที่จริงๆ มันมีกลไกอย่างอื่นที่เขาอาจจะรักเราในวิธีของเขาอะไรอย่างนี้

คือเหมือนกับว่าถ้าพูดเปรียบเปรยคือ ถ้าสื่อต้องการสิทธิเสรีภาพ ความรักก็ต้องการสิทธิเสรีภาพเหมือนกันหรือเปล่าครับ คือว่าเขาก็ต้องการสิทธิเสรีภาพของเขา?

คือความรักมันน่าจะเป็นเรื่องของตัวเราเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องของเขา รอจากเขาด้วย ปัญหามันเกิดขึ้นตอนที่เราต้องการให้มันเหมือนกัน คืนกลับมาเท่ากัน

เพราะจริงๆ แล้วมันอาจจะไม่ต้องคืนกลับมาเท่ากันก็ได้ แล้วแต่การแสดงออกของแต่ละคน?

เหมือนความรักของพ่อแม่อย่างนี้ เราก็ไม่รู้หรอกว่าเขาบ่นหรือด่าว่าเรามันเป็นคำอวยพรทั้งนั้น แต่เราก็ฟังเป็นเรื่องแย่ ก็คือจริงๆ เรามาเปรียบเทียบว่าทำไมเขาไม่พูดดีดีกับเราอย่างนี้มันก็จะกลายเป็นปัญหา อธิบายไม่ค่อยเป็น (หัวเราะ)

 

 

ถ้าให้คุณพูดถึงจุดเด่นของเพลงรักของฟรายเดย์?

ก็เป็นเพลงที่ โอ้โห..ยากจังเลย ต้องให้แฟนเพลงเป็นคนบอก (หัวเราะ)

แต่ถ้าจุดประสงค์หลักๆ ของการที่ฟรายเดย์รวมตัวกันเพื่อนำเพลงไปสู่แฟนๆ หลักๆ แล้วที่เราอยากสร้าง?

เราอยากเป็นเพลงที่เรียบง่าย แล้วก็เป็นเพลงที่ใกล้ชิดหัวใจคนฟังเหมือนเป็นเพื่อนอะไรอย่างนี้ครับ ก็อยากจะเป็นเพลงที่อยู่ในขณะนั้นๆ ของเขา คือขณะที่เราเคยรู้สึกอย่างนี้ ถ้ามีคนเคยรู้สึกอย่างนี้มันก็คือการสื่อสารกันว่าเออเป็นคนแบบเดียวกันนะ

ทุกวันนี้ฟรายเดย์มองเรื่องอะไรเป็นหลักของการทำงานเพลงครับ มองเรื่องความรักอย่างเดียวไหมหรือมองเรื่องโตขึ้น?

เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเราพูดถึงเพลงรักซะส่วนใหญ่เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ใกล้ชิดมนุษย์ที่สุด เราจะพูดถึงการเมืองมันก็ไม่เข้ากับบุคลิกเรา ใช่ไหม แต่ว่าความรักมันก็อยู่ในทุกอย่างอยู่แล้ว

ในฐานะที่พี่บอยอยู่ในยุคของเทป ซีดี MP3 พี่บอยมองเรื่องของการอยู่รอดของนักดนตรีในยุคสมัยนี้ยังไงครับ?

ตอนนี้ถ้าพูดกันเป็นจำนวนเงินหรือวอลุ่มของการขายซีดีมันไม่ต้องพูดหรอกเพราะว่ามันขายได้เรียกว่า ‘ลงไปติดลบแล้วอะ' คือการซื้อมันไม่ได้ช่วยให้ศิลปินแบกรับต้นทุนที่สร้างขึ้นมาเลย แต่ว่าการเข้าถึงของเพลงคือการที่ศิลปินคนหนึ่งแต่งเพลงขึ้นมาแล้วมีคนได้ยินเพลงนั้น มันง่ายขึ้นกว่าสมัยก่อนเยอะมาก

อันนี้เรามองเรื่องของการเผยแพร่?

ใช่ อันนั้นถ้ามาคิดเป็นต้นทุน เทียบกับสมัยก่อนมันก็เป็นเงินที่เยอะมากเลย ถ้าเราทำให้ได้เท่านี้ในสมัยก่อน ฉะนั้นจริงๆ เราก็ไม่ได้เสียอะไรไปหรอก ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ เราก็ทำเพลงที่ถูกต้องออกมา เพลงที่ใช่ออกมาก็พอ ทำอย่างที่เราสบายใจที่สุด

ตอนนี้ศิลปินอยู่รอดได้จากอะไรครับ?

ถ้าของผมก็คอนเสิร์ต งานโชว์แล้วก็ทำเพลงโฆษณาอย่างนี้ครับ

นี่คือรายได้หลักของศิลปินของฟรายเดย์?

ใช่

ถ้าการเลือกรักใครสักคนหนึ่ง อะไรคือความหมายและเหตุผลในการเลือกรักใครสักคนหนึ่งครับ?

คนที่จะแต่งงานด้วยเลยใช่ไหม (หัวเราะ) ก็ถ้าสำหรับคนนี้ก็คือ ก็เคยมานั่งคิดนะว่าอะไรบ้าง คือเขาเคยถามไงว่าชอบเขาตรงไหน เราก็พยายามคิดเป็นสิบๆ ข้อว่าอะไร มันก็มีเต็มไปหมดไง หรือว่ามันก็มีเหตุผลที่มันไม่ใช่ด้วยเต็มไปหมดเหมือนกัน แต่ว่ามันก็เป็นคนนี้ เราก็เลยแต่งเพลง ‘ไม่มีเหตุผล' เพราะว่าจริงๆ มันไม่มีเหตุผลเพราะคนที่เราจูนกันได้ลงตัว ข้างในเราจะบอกเองว่าเราอยู่กับคนนี้แล้วเรารู้สึกเย็นสบาย แฟนผมคนนี้เขาเป็นคนร่าเริง แล้วเวลาที่ผมหงุดหงิดหรืออะไรอย่างนี้ มืดมน มันจะสว่าง มันจะสบาย มันจะนิ่ง เราก็รู้สึกว่าเราอยู่กับคนนี้ได้นานๆ

ในฐานะที่คุณกำลังจะแต่งงาน คุณคิดว่าความสำเร็จของผู้ชายมีผู้หญิงอยู่เบื้องหลังจริงไหม?

จริงสิ (หัวเราะ) ผู้ชายแบบผมกันนะ เพราะผู้ชายแบบผมเป็นผู้ชายที่ไม่ค่อยออกาไนซ์ ไม่ค่อยวางแผน ไม่ค่อยจัดการตัวเองมากนัก อาจจะเป็นเพราะว่าเรามีพาร์ทที่เป็นศิลปิน เราก็เลยไม่ค่อยธุระ ไม่ค่อยมีระเบียบกับชีวิต ความต้องการของเรามากกว่านะ ซึ่งการมีผู้หญิงเพศแม่ เขาจะรู้ว่าทำยังไงให้มันลงตัวพอดีเหมือนจับมาวางให้มัน ที่มันเละเทะ การเดินย่ำไปในชีวิตที่แบบยังไงก็ได้ มันก็ไปได้ง่ายขึ้น

คุณใช้ชีวิตมาระดับหนึ่ง ผ่านช่วงวัยของความรักมาระดับหนึ่ง พี่บอยมองความรักของคนยุคสมัยนี้ยังไงอ่ะครับ อาจจะเป็นน้องๆ ลงไปที่คุณเคยเห็น?

เราก็ไม่เคยมีแฟนเป็นคนสมัยนี้ด้วยสิ

อาจจะเหมือนกับว่าที่เราสัมผัสเห็นจากข่าว?

เราอิจฉานะ จริงๆ เราก็อยากเกิดมาเป็นเด็กวัยรุ่นสมัยนี้คือสมัยเรา จำได้ว่าเราเรียนโรงเรียนชายล้วน เราอยากจะมีเพื่อนผู้หญิงเราต้องไปสมัคร pen friend กรอกข้อมูลมีเพื่อนทางจดหมายอะไรอย่างนี้ คือการที่จะมีเพื่อนที่เป็นเพื่อนต่างเพศสักคนมันยากมากตอนเด็กๆ ถ้าผมเกิดในยุคนี้แล้วมีเฟซบุ๊คมีอย่างนี้คงสนุกน่าดู

จริงๆ คุณเป็นคนเจ้าชู้ไหม?

เป็น (หัวเราะ) ก็เป็นคนไม่ได้เจ้าชู้หรอกครับ กรุ้มกริ่มแล้วกัน

คือเราอาจจะชื่นชอบอยู่ในใจแต่ไม่ได้แสดงออกออกไปโผงๆ อะไรอย่างนี้หรือครับ?

ก็ไม่ได้เจ้าชู้แต่แต่งเพลงเผลอครับ

อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดของคุณครับในการที่เราจะได้ใช้ชีวิตร่วมกับผู้หญิงที่เรารักสักคนหนึ่ง?

โห... ก็พอตอนที่เรารู้ว่าน่าจะเป็นคนนี้เราก็ไม่อยากเสียเวลาอีกเลย เรารู้สึกอย่างนั้น เรารู้สึกว่าเราจะไปมัวเดินอ้อมไปเพื่ออะไร แต่จริงๆ อ้อมมากนะ 9 ปี แต่พอเรารู้ว่ามันเป็นคนนี้เราก็จะจินตนาการตลอดเวลาว่าตอนเช้าที่บ้านมีคนนี้อยู่ด้วยมันเป็นยังไง

แล้วคุณจินตนาการไว้ว่ายังไง อยากขอแอบดูจินตนาการของคุณนิดหนึ่งได้ไหมครับ?

ก็จินตนาการว่าเขาตื่นสายแล้วเราตื่นก่อนแล้วเราลงมาทำกับข้าว ทำอาหารเช้าแล้วให้เขานอนให้เต็มที่ แล้วค่อยเรียกมาทานข้าวเช้าด้วยกัน (หัวเราะ)

ถ้าให้เลือกหนึ่งเพลงของฟรายเดย์หรือของคุณเองให้กับคุณตุ๊กตา คุณจะเลือกเพลงไหน?

หูย... ก็ต้อง ถ้าเป็นฟรายเดย์เขาจะชอบ ‘เธอยังมีฉัน' เพราะเราแต่งให้เขาตอนที่เขาแบบมีปัญหาเรื่องงานนิดหน่อย เราก็แบบแต่งเพลงนี้ให้กำลังใจเขา แต่ว่าถ้าเป็นเพลงที่โรแมนติกก็เป็นเพลง ‘ไม่มีเหตุผล'

นั่นคือเป็นเพลงที่คุณและคุณตุ๊กตาชอบทั้งคู่ด้วยไหมครับ?

เป็นเพลงที่จีบเขาแหละ (หัวเราะ)

ผมอยากรู้มากเลย คุณมีวิธีการจีบยังไงครับ ?

เราจีบผู้หญิงไม่เป็น สมมติเราไปเที่ยวที่เที่ยวอย่างนี้ ผับหรืออะไรอย่างนี้แล้วอยากจะเข้าไปคุยกับใคร ไม่เคยเลยตลอดชีวิตมา ไม่กล้าคุยก็ได้แต่มองจนกลับบ้าน ไม่เคยจีบ ไม่เคยพูด ไม่เคยกล้าเข้าไปพูดกับใครก่อน เด็กๆ อย่างนี้เราชอบใครเราก็จะตกหลุมรักเขาเสร็จแล้วก็อกหักไปโดยที่เขาไม่รู้

แล้วอย่างคุณตุ๊กตาล่ะครับ?

อันนี้คือเขามาเล่นมิวสิควิดีโอให้เรา เรียกว่าเริ่มนะ แต่ว่าตอนเล่นจนจบเรายังไม่รู้จักเขา เพราะถ่ายคนละวันกัน ก็ผ่านไปปีหนึ่ง (หัวเราะ) ผ่านไปปีหนึ่งอ่ะคิดดูสิ คือ MV ออกไปเราก็เคยเห็นเฉยๆ เราก็ไม่รู้จักเขา พอหลังจากนั้นหนึ่งปีคือเขาทำงานอยู่ที่หนังสือแฮมเบอเกอร์เราก็ไปหาบก.ที่เป็นเพื่อนกัน เราก็ไปเห็นเขาทำงานอยู่ด้วยกัน หน้าคุ้นๆ อะไรอย่างนี้ เราก็เลยใช้อำนาจของเพื่อนที่เป็นหัวหน้า เราก็เลยขอเบอร์ msn มาแล้วก็ค่อยมาคุย ผ่านไปปีหนึ่งถึง เอ๊ะ! ทำไมหน้าคุ้นๆ ก็เล่น MV ให้ไง อ๊ะ...

แล้วถ้าให้พี่อธิบายความหมายของการอยู่ด้วยกันที่ควรจะเป็นของความเป็นมนุษย์ในสังคม คุณคิดว่าในมุมของคุณ การอยู่ร่วมกันของคนในสังคมเป็นยังไงในทัศนคติของคุณ?

ก็ควรต้องเคารพกัน ไม่พึ่งพากันมากเกินไป แล้วก็ผมชอบนิทานเรื่อง Missing Piece คือไม่ใช่ใครจะเกิดมาเพื่อเป็นของกันและกัน แต่ถ้าเขาจะไปด้วยกันก็ต้องกลิ้งไปด้วยกัน มันไม่มีใครที่จะเป็นชิ้นส่วนที่หายไปของใครหรอก ทุกคนมันต้องกลิ้งไปด้วยกันมันถึงจะได้ไปด้วยกัน

ทำไมคนส่วนมากถึงมองว่าตัวเองคือคนที่ขาดส่วนหนึ่งที่หายไป ขาดส่วนหนึ่งที่จะมาเติมเต็ม ทำไมทุกคนเวลาจะมีความรัก จะต้องมองในเรื่องของการขาดหายไป?

ก็ไม่ทุกคนหรอก (หัวเราะ) ก็ไม่รู้ถ้าคนที่เขาคิดว่าต้องมีใครมาเติมแปลว่าเขาก็ต้องรออยู่ตลอด หรือว่าคนที่อยากจะไปเติมเขาแปลว่าเขามีเยอะมาก

 

 

แต่อีกมุมหนึ่งก็จะมีแบบว่า ทำไมต้องคิดว่าตัวเอง แต่ทำไมไม่คิดว่าตัวเองก็เต็มอยู่แล้ว แต่แค่เวลาเราหาใครสักคนมาอยู่ด้วยกัน ก็คือต้องการที่จะอยู่ด้วยกันจริงๆ กับเหตุผลแบบนี้คิดว่ายังไงครับ?

คิดว่าไม่ว่าจะยังไง เราต้องทำตัวเองให้ลงตัวก่อน เราต้องสามารถรักตัวเองเป็นก่อน คนอื่นถึงอยากจะรักเรา เพราะเราจะต้องไม่พร่อง เราจะต้องเป็นวงกลมที่เต็ม คนเขาจะได้อยากกลิ้งไปกับเรา เหมือนกับบอกว่าให้รักประเทศชาติกันสิ ยังไงก็ไม่รักกันหรอกครับ มันต้องรักตัวเองก่อน มันถึงจะเป็นชาติไง ไม่ใช่บอกให้รักกัน มันก็ไม่รักกัน

คิดว่าทุกวันนี้การแสดงออกของคนในสังคม การแสดงออกในเรื่องของการชัดเจน ผมไม่อยากไปแตะการเมืองเท่าไหร่ สิทธิเสรีภาพ พี่บอยคิดว่าโอเคแล้วหรือยังสำหรับประเทศไทย?

ถ้าเอาจริงๆ ตอนนี้เขาอยากพูดอะไรเขาก็พูด ไม่มีการรอกันเลย ถ้าไม่ได้อะไรอย่างใจเขาก็ปิดถนน เขาก็ทำได้อย่างหมดใจไง เราก็ไม่รู้ว่ามันโอเคหรือยัง เราว่าไม่โอเคอยู่แล้วล่ะ ถึงบอกไงว่ามันต้องเริ่มกลับมาที่ตัวเอง ทำตัวเองให้สมบูรณ์มันก็จะสมบูรณ์เป็นปึกแผ่นเขาเรียกว่าอะไร ยืนหนักแน่นด้วยตัวเองก่อน

ในฐานะศิลปินเรามีโอกาสที่จะปั้นแต่งสังคมนี้ยังไงบ้าง?

ถ้าในฐานะของงานเราเราก็พยายามจะสอดแทรกลงไปในงานเราบ้างเท่าที่จะทำได้นะครับ ก็ในนี้ก็มีเพลงที่เกี่ยวกับการเมืองเหมือนกัน หรือว่าเพลงที่อย่างวง 3AM อย่างนี้ที่ทำกับพี่บอย-โกสิยพงศ์ ก็พยายามจะทำหน้าที่ที่เป็นนักแต่งเพลง ก็คือพูด เขียนเพลงที่ได้พูดอะไรออกมาอะไรอย่างนี้ แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องกว้างๆ หรือใหญ่ๆ มากๆ ก็ไม่ใช่บุคลิกเรา แล้วก็ไม่หลบเลี่ยงภาษี (หัวเราะ)

อยากให้คุณฝากการดำเนินชีวิต ในฐานะที่คุณเป็นคนอบอุ่น เราควรจะมีความรักหรือรูปแบบในการแสดงออกทางความรักยังไง?

เอ่อ... ยากเลย เพราะว่าเราก็ไม่รู้ว่าเราถูกหรือเปล่า แต่ว่าก็เหมือนสมัยนี้ทุกอย่างมันเร็วมากใช่ไหมครับ แล้วเราก็มีเฟซบุ๊ค เราก็มีทวิตเตอร์ เวลาเราคิดอะไรเราก็พูดเลย เขียนเลย เราเลยตรงจุดที่เราจะเก็บความรู้สึกกันไปสักพักหนึ่ง แล้วมันก็เลยทำให้ทุกอย่างมันเร็วเหลือเกิน ถ้าการที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันของสังคมในหน่วยย่อยๆ เป็นบ้าน หรือครอบครัว บางทีมันคิดอะไร มันน่าจะยั้งคิดกับตัวเองก่อน กรองสักหน่อย อดทนสักหน่อยก่อนจะพูดออกมา ทำให้โลกมันหมุนช้าลงหน่อย


"มันน่าจะเป็นพลังงานที่ทำให้เราอยากตื่นขึ้นมามีวันใหม่"

"เราต้องสามารถรักตัวเองให้เป็นก่อน คนอื่นถึงอยากจะรักเรา เราจะต้องไม่พร่อง ต้องเป็นวงกลมที่เต็ม"

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook