BE MAGAZINE : ตุลาคม 2554

BE MAGAZINE : ตุลาคม 2554

BE MAGAZINE : ตุลาคม 2554
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ROOM 39 ทุกก้าวที่เดินไปสู่ความฝันควรมีความสุข

หลายคนล้มเลิกกลางทางเพราะไม่มีความสุขระหว่างการเดินทางไปสู่ความฝันของตนเอง เราต่างมีความฝันเป็นของตนเองเป็นเรื่องที่ผมรับรู้มาตลอดที่ทำสัมภาษณ์ แต่สิ่งสำคัญคือกระบวนการไปถึงความฝันนั้น วิธีการของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป น้อยครั้งนักที่เราให้น้ำหนักในเรื่องของความสุขระหว่างการเดินทางไปสู่ความฝัน หลังจากการสนทนากับสองหนุ่มหนึ่งสาวจากวง ROOM 39 ทอม อิศรา กิจนิตย์ชีว์, มน ชุติมน วิจิตรทฤษฎี และ แว่นใหญ่ โอฬาร ชูใจ ทำให้ผมแปลกใจถึงฝั่งฝันของเขาว่าวัยรุ่นหลายคนมุ่งมั่นที่จะเป็นศิลปิน นักร้อง ออกอัลบั้ม แต่ในมุมมองเขา เขาเล่นเพื่อสนุก มีความสุขทุกครั้ง

 

 


ที่อยู่กับดนตรีและบทเพลง แต่ในเมื่อโอกาสที่หอมหวานเวียนมาถึงพวกเขา เขาเองก็พร้อมลองลงมือกระทำกับความฝัน ถึงแม้ไม่มีใครรู้ว่าปลายทางของความฝันนั้นจะจบลงแบบไหน อย่างไร พวกเขาก็พร้อมที่จะเดินผ่านอุปสรรคมากมาย เรียนรู้รายละเอียดระหว่างทาง เป็นตัวอย่างที่ดีในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยความมุ่งมั่นและเต็มที่ รับผิดชอบกับความฝันของตนเอง รับผิดชอบต่อสิ่งที่เขาเลือก

Room 39 ดังเเล้วหรือยังในสายตาพวกคุณ ?

แว่นใหญ่ : ถ้าความรู้สึกผม ผมเรียกว่า เราเป็นที่รู้จัก แต่ถ้าถามเราว่าในฐานะวงดนตรี เรายังไม่ดัง แต่เราเป็นที่รู้จัก อาจเป็นเพราะว่าแนวทางการมาถึง ณ จุดนี้ของเราด้วย มันแปลกใหม่ไม่เหมือนของคนอื่น ก็เลยเป็นที่รู้จักมากกว่า ถ้าถามว่าดังแบบซูเปอร์สตาร์ก็คงไม่ใช่

ทอม : ยังไงเราก็คงเป็นวงหน้าใหม่อยู่ดี เรามีความสุขกับการทำงานมากกว่า จริงๆ เราไม่ค่อยได้มองตัวเองว่าดังหรือเปล่า อาจจะต้องถามคนข้างนอกที่ติดตามว่าดังหรือเปล่า เขาอาจจะปลื้มและอยากติดตาม

มน : เราไม่เคยรู้สึกว่าเป็นคนดังหรือเป็นซูเปอร์สตาร์เลย

แว่นใหญ่ : จุดสำคัญคงไม่ใช่ว่าดังหรือเปล่าเเต่มันคงสำคัญที่เราเล่นดนตรีได้ดีหรือเปล่า ตอนนี้เรายังรู้สึกว่าเรายังต้องทำ ต้องพัฒนาอีก เราต้องโชว์ผลงานมากกว่านี้ เราไม่ได้สนใจว่าเราต้องดังขนาดไหน แต่เราสนใจเรื่องทำงานเพลงของเราให้คนชอบเรามากกว่า ให้มีผลงานเพลงออกมาเยอะๆ

 

หลังจากที่ปล่อยเพลง หน่วง ออกมาแล้ว ความรู้สึกของคุณในตอนนี้รู้สึกอย่างไร คุณพร้อมแล้วหรือยังที่จะปล่อยงานทั้งอัลบั้มออกมาสู่แฟนเพลง ?

ทอม : ความรู้สึกผมนะครับ ตอนแรกก่อนที่เพลงนี้จะถูกปล่อยออกไป ผมกดดันตัวเองมาก กังวลว่าออกมาแล้วจะเป็นอย่างไรนะ แต่ถ้าถามว่าชอบไหม ชอบมาก แต่ว่าสำหรับเพลงต่อๆ ไป เพลงที่ต้องมาอยู่ในอัลบั้ม ต้องพิถีพิถันมากขึ้น ต้องตั้งใจทำและเอาให้ดีที่สุดจริงๆ แต่เราจะไม่กังวลว่ามันจะเป็นเพลงที่โดนไหม มันจะเป็นเพลงที่ดังไหม แต่มันต้องเป็นเพลงที่เราชอบเพราะว่ามันเป็นเพลงอัลบั้มของเรา

แว่นใหญ่ : ความคิดผมพอปล่อยออกมามันมาพร้อมกับความกังวลใจอย่างที่ทอมบอก เพราะตอนที่เราทำเพลงกัน เราชอบกันจริง แต่เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคนฟังจะชอบเพลงเราไหม เราจึงต้องพยายามบริหารความชอบของคนอื่นกับความชอบของเราด้วย ไม่ให้รู้ว่าเฮ้ย! เราชอบคนเดียว คนอื่นไม่ชอบทำไปก็เท่านั้น พยายามบริหารตรงนั้นให้ดี ที่สำคัญเราก็ได้คำชี้แนะจากพี่บอยเยอะมาก พี่บอยบอกว่ากังวลไปก็เท่านั้น มันเหมือนดินฟ้าอากาศ เราควบคุมอะไรมันไม่ได้ เราได้แต่ทำให้ดีที่สุด และก็รอผลที่จะเกิดขึ้นมันเป็นอย่างไร

มน : การกังวลก็คงเป็นเรื่องธรรมดาว่าเพลงที่เราจะปล่อยออกมาเพลงที่สองนั้นจะออกมาเป็นอย่างไร ก็อย่างที่บอกไปเราเองก็พยายาม ไม่ได้ทำแค่เพลงเดียว เราก็พยายามทำสี่ห้าเพลงแล้วก็เลือกเพลงที่ดีจริงๆ ออกมา

 

 

ตอนนี้เห็นรับงานเกือบทุกคืน ถือว่างานเยอะมาก คุณใช้โซเซียลมีเดียเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้ฟังได้อย่างกันเอง ในขณะที่คุณเล่นต่อหน้าเเฟนเพลงกับตอนที่คุณเล่นอัดลง Youtube มันให้อารมณ์ความรู้สึกแบบไหนกันบ้าง ?


แว่นใหญ่ : สำหรับผมแล้วอารมณ์และความรู้สึกอาจจะแตกต่าง แต่แก่นสารของมันเหมือนกันคือเราเล่นดนตรีอย่างเต็มที่จริงๆ เพราะการเล่นต่อหน้าคนดูเรามีโอกาสแค่ครั้งเดียวเราก็ต้องทำให้ดีที่สุด คือมันก็คนละรูปแบบเพราะต่อหน้าคนดูเรามีความสนุกกับเขา แต่การทำคลิปเราก็จะตั้งใจ เป็นความสุขอีกแบบหนึ่ง

ทอม : คือมีความสุขที่จะเล่นและจะร้อง แต่ขณะที่เราไปเล่นสดเราสามารถสัมผัสได้เลย ณ จุดนั้น คนที่ไปดู ณ จุดนั้น ว่าเขาเอ็นจอยไหม หรือแม้แต่ว่าเราจะทำอย่างไรให้เขารู้สึกสนุก ให้เขาเพลิดเพลินในการฟังเพลงที่เราร้อง

มน : คือพวกเราถนัดเล่นสดกันอยู่เเล้ว แต่ถ้าเราเข้าห้องอัดเราจะนอยด์มาก เราอาจไม่ใช่ประเภทนั้นคือเราถนัดเล่นสด

ทอม :  เราชอบสนุกๆ พูดคุยเล่นได้ โต้ตอบอะไรกัน

มน : กันเอง เวลาเข้าห้องอัดนี้จะนานเลย

 

มันเหมือนเราเล่นกับเพื่อนมากกว่า พอเราต้องมาจริงจังกับการทำอัลบั้มกับการทำเพลงจริงๆ มันก็เครียด เเล้วเรามีวิธีการปรับจูนตัวเองอย่างไร ?


แว่นใหญ่ : ก็พยายามบริหาร ถ้าเราสนุกไปกับมัน แต่ว่าความสนุกก็ต้องอยู่บนกฎเกณฑ์ มันต้องมีมาตรฐานประมาณนี้นะ มันก็ยากอยู่เหมือนกันสำหรับมือใหม่อย่างพวกเราที่จะบริหารจุดนี้ แต่ว่าเราก็ต้องใช้เวลาและประสบการณ์ ซึ่งพวกเราคิดว่าเราทำได้เพราะว่าจำเป็นต้องทำแล้วถ้าวันนั้นโลกไม่มีคำว่าอินเตอร์เน็ตคุณคิดว่าพวกคุณจะอยู่ที่ไหน จะทำอะไรอยู่ในวันนี้ ก็ยังคงเล่นดนตรีอยู่ ยังอยู่ที่ร้าน คือทุกคนอาจจะทำงานประจำไปด้วยและเล่นดนตรีที่ร้าน แค่นั้นเราก็มีความสุขแล้ว

ผมว่าการเล่นดนตรีเป็นสิ่งที่พวกเรารัก ไม่ว่าเราเล่นอยู่ในสถานการณ์ไหน ตรงไหน เวทีเล็ก เวทีใหญ่ เล่นในห้อง เล่นคนเดียว แต่ ณ วันนี้ ความสุขมันดีมากกว่าเดิม เพราะว่าเรารู้ว่าสิ่งที่เราทำ มันสามารถทำให้คนอื่นมีความสุขได้ด้วย มันรู้สึกว่ามันมีค่า

คุณมองว่าตอนนี้คุณเป็นศิลปินหรือนักร้องที่ทำอาชีพร้องเพลงหาเงิน ?

แว่นใหญ่ : คำว่าศิลปินมันดูกว้างและสูงส่งมากเลย คือทุกครั้งที่คนเรียกพวกเราว่า อ้าว! ศิลปินเชิญทางนี้ครับ ทุกครั้งที่เขาเรียกพวกเราว่าศิลปินเราดูยิ่งใหญ่มากซึ่งเราไม่ชิน แต่เรามองตัวเอง เรียกตัวเองว่านักดนตรีตามร้านอาหาร แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเส้นแบ่งกันระหว่างคำว่านักร้อง ศิลปิน นักดนตรี มันคืออะไร เราต้องรอให้คนยอมรับเราก่อนใช่ไหม เราถึงเป็นศิลปินได้เหรอ เพราะผมเชื่อว่าทุกคนก็สามารถเป็นศิลปินก็ได้เหมือนกัน

ผมว่านักร้องที่ร้องเพลงอยู่ที่บ้านหรือตามร้านอาหารก็คือศิลปิน คือพวกเรามองว่ามันเป็นเพียงแค่การบัญญัติเอาไว้เฉยๆ ว่าอะไรคือศิลปิน อะไรคือนักร้อง นักดนตรี เเต่ถ้าจะเรียกพวกเราเป็นนักดนตรีพวกเราก็มีความสุขเเล้ว ถ้าเป็นภาษาไทยเราก็คือนักร้อง นักดนตรี ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็ใช้อาร์ติสก็เหมือนกัน คำเดียวใช้ได้หมด จิตรกร วาดภาพ แต่พอมีคนเรียกเราอาร์ติสหรือศิลปินเราดูยิ่งใหญ่


มน : คือในเมืองไทยเขาบอกว่าต้องมีเพลงเป็นของตัวเอง ต้องมีอัลบั้ม มันถึงจะเป็นศิลปิน

แว่นใหญ่ : ผมว่ามันก็แล้วแต่คนมอง จริงๆ แล้ว จะเรียกเราว่าอะไรก็ตาม เราก็ยังเป็น Room 39 ที่เล่นดนตรีให้ทุกคนเหมือนเดิม ไม่ว่าพื้นฐานแล้วจะศิลปินหรือนักร้องที่มีอาชีพร้องเพลง มันก็มีพื้นฐานคือเราก็หาเงิน คนที่จะมาเล่นตรงนี้ คือเขาคงมีความรักเป็นทุนเดิมอยู่แล้วส่วนเงินก็มาเป็นองค์ประกอบ แต่เราก็ไม่ได้กำหนดว่าเราต้องมาเป็นศิลปินเพื่อให้ได้เงินมากกว่าการเป็นนักร้องหาเงิน

มันก็เป็นอาชีพอาชีพหนึ่งที่ต้องได้ผลตอบแทนเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เพราะถ้าวันนี้ไม่มีใครเรียกเราว่าศิลปินเราก็ยังเล่นดนตรีเหมือนเดิม ถามว่าเรื่องเงินสำคัญกับพวกเราไหมสำคัญมาก แต่สำคัญกว่านั้นคือความสุขในการเล่นดนตรี ผมนึกออกแล้วถ้าจะใช้คำว่าศิลปินกับพวกเราได้ก็คือพวกเรามีอารมณ์ศิลปิน พูดถึงราคาก็ยังไม่เท่ากับความไว้เนื้อเชื่อใจเรา ถ้าเขาเชื่อเรา พอใจเรา เราก็พร้อมที่จะเล่นเหมือนกัน

 

 

แต่ละคนอยากให้ Room 39 ไปสู่จุดไหน ?

ทอม :  ผมไม่ได้ตั้งเป้าว่าต้องเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศหรือออกไปสู่ประเทศอื่นๆ แค่อยากอยู่ได้เพื่อทำผลงานเพลงได้เรื่อยๆ และยังพอมีคนฟังเราอยู่

มน : ก็เหมือนกันได้ทำเพลงไปเรื่อยๆ เพราะอาชีพนี้เราฝันเราอยากจะทำมันมานานแล้ว คือวันนี้เราได้ทำแล้วเราก็อยากจะอยู่กับมันไปนานๆ ส่วนที่เหลือเราเองก็คงควบคุมอะไรไม่ได้

แว่นใหญ่ : ผมมองว่าอย่างที่พวกเราเองตอนที่เป็นวงดนตรีเล็กเหมือนเมื่อก่อน ผมคิดเสมอว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่มานาน หรือเพิ่งมาอยู่เราต้องพัฒนาศักยภาพตัวเองไปให้ได้ถึงจุดที่เราสามารถไปได้ ผมเชื่อว่าเรายังไปได้อีกไกล เราเองก็พยายามมองหาโอกาสให้กับตัวเอง เราอยากจะพัฒนาวงของเรา หรือขีดจำกัดของเราให้ไปได้ แต่เมื่อพูดถึงเป้าหมาย ผมไม่เคยมีเป้าหมาย เพราะเราไม่เคยจะคาดหวังว่าจะต้องมาออกเทปให้ได้ หรือว่าต้องมาเป็นศิลปินในค่ายใดค่ายหนึ่ง ทุกวันนี้มันเกินเป้าหมายของเราอยู่แล้ว การได้มาขนาดนี้ก็ถือว่าโชคดีอยู่แล้ว แต่เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วเราก็ควรใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์ที่จะสร้างตัวเอง ผมอาจคาดหวังกับศักยภาพตัวเอง แต่ผมไม่คาดหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

 

แสดงว่าการออกอัลบั้มไม่ได้เป็นเป้าหมายของพวกคุณ ?

ทอม : ไม่เคยตั้งแต่แรก ไม่เคยอยากเป็นศิลปิน นักดนตรีอะไร ตอนแรกที่เราอัพโหลดวิดีโอ ก็ทำกันเล่นๆ แต่บังเอิญหรือใช้คำว่าโชคดี คนให้ความสนใจก็ดูแล้วก็ติดตาม จนได้มีโอกาสที่โชคดีมากๆ ที่พี่บอยเข้ามาเห็นแล้วติดต่อมา ก็เลยได้คุยกัน ซึ่งถ้าเกิดไม่ได้มาตรงนี้ พวกเราก็ยังคงร้องเพลงอยู่ที่โน่น เราก็มีความสุขกับการได้ร้องเพลงอยู่ที่นั่นดี

แว่นใหญ่ : ถ้าพูดถึงความสำเร็จและเป้าหมายพวกเราวัดกันที่ความสุขในการทำในสิ่งที่เรารัก ซึ่งการได้ร้องเพลงที่โน่นก็คือว่าเราได้ทำสำเร็จแล้วในแต่ละวัน

มน :  ตอนเด็กๆ เราก็มีเป้าหมายด้วยกันทุกคน เราอยากเป็นนักร้อง เราอยากเป็นนักดนตรี ออกอัลบั้ม เอาเข้าจริงๆ เเล้วมันไม่สามารถใช้ได้จริง เป็นฝันลมๆ แล้งๆ แล้วมันก็ไม่มีช่องทางอะไรมากมาย สมัยก่อนมีแค่ประกวด มีส่งเทปเข้าค่ายเพลงต่างๆ ว่าง่ายๆ มนเคยยอมแพ้ไปแล้วกับการประกวดกับการที่อยากเป็นนักร้อง พอได้มาทำเพลงในวันนี้เราเองก็แทบจะไม่คาดหวังอะไร ที่มันเกินตัวเรามากเกินไป ส่วนเป้าหมายจริงก็อย่างที่บอกคืออยากอยู่นาน

 

 

 

คุณมองเห็นอะไรจากวัยรุ่นที่กำลังเดินตามหาความฝันของตนเอง ขณะที่วัยรุ่นไทยจำนวนมากวิ่งเข้าสู่การประกวด เเต่คุณไม่ได้เข้าสู่เส้นทางนี้ ?

มน : จริงๆ แล้วการประกวดไม่ได้เสียหายอะไร จริงๆ มันก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของน้องๆ ที่อยากจะเข้าวงการบันเทิง แต่มันก็ไม่ใช่ทุกอย่าง ถ้าน้องๆ ที่รัก ที่ชอบดนตรีจริง เราสามารถจะทำผลงานของเราเองจริงๆ ก็ได้ หรือทำวิดีโอ Youtube ของเราเอง เพราะมันสามารถโชว์ศักยภาพตนเองได้

ทอม : ผมคิดว่าก็อย่างที่มนบอกว่ามันไม่ใช่แค่หนทางเดียว ผมคิดว่าการที่วัยรุ่นไทยหันมาประกวดเยอะๆ มันก็เป็นเรื่องที่ดี ทำให้เห็นว่าวัยรุ่นไทยเริ่มมีความคิดที่อยากจะแสดงความสามารถมากขึ้น อยากจะโชว์ความสามารถของตัวเองมากขึ้น แต่บางแง่มุมของการประกวด มันไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าคนๆ นั้นคู่ควร หรือสมควรที่ได้เป็นนักร้อง หรือศิลปินที่มีคุณภาพได้ในเมื่อผลที่ได้มาจากการโหวต หรือให้กรรมการเพียงไม่กี่คนตัดสินว่าคุณร้องเพลงเพราะหรือไม่เพราะ

ในมุมผม ผมคิดว่าไม่มีใครสามารถบอกคุณได้ว่าคุณร้องเพลงเพราะหรือไม่เพราะ ดีที่สุดหรือไม่ดี ใช่แค่คนกลุ่มนั้นที่จะตัดสินคุณได้ ทุกๆ คนร้องเพราะในแบบของตนเอง ซึ่งมันมีคนหลายๆ กลุ่มที่ชอบเพลงแตกต่างกันออกไปอยู่เเล้ว อย่างเราที่เราเอาเพลงลง Youtube เพื่อที่จะแชร์กันในกลุ่มเพื่อนเล่นๆ แสดงความเป็นตัวเองให้ออกมามากที่สุด ซึ่งก็อาจจะมีคนชอบหรือไม่ชอบก็ได้ ถึงแม้ว่าคุณอาจจะไม่เก่งในสายตาของการประกวดแต่คุณก็อาจเก่งในสายตาของใครอีกหลายๆ คนก็ได้

แว่นใหญ่ :  สำหรับผมการประกวด มันมีปัจจัยหลายๆ ปัจจัยในการประกวด ขายได้ไหม หน้าตา มันคือ Product ชิ้นหนึ่งดีๆ นี่เอง ผมมองว่าหลายๆ คนมีดีในตัวเองอยู่แล้ว ในแบบที่คุณเป็น คุณอาจจะไม่ไปดีในเวทีนั้น เวทีนี้ แต่สาระสำคัญที่แท้จริงคือคุณต้องหาความสามารถในด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ว่าคุณจะมีอาชีพอะไรก็แล้วแต่ คุณต้องหาในสิ่งที่คุณมีแล้วคนอื่นไม่มี แล้วคุณก็สามารถทำออกมาให้คนทั่วไปเห็นได้ คุณจำเป็นต้องทำด้วยความตั้งใจจริงๆ อย่า

พวกเราไม่ได้คิดว่าจะมีคนมามอง มาพาไปออกเทป แต่พวกเราเล่นกันด้วยความรักและตั้งใจ ใครจะไปคิดว่าการเล่นลงใน Youtube มันจะพาเรามาสู่จุดนี้ ความแตกต่างที่ทำให้คุณมีเสน่ห์ มันต้องสร้างให้คนทั่วไปเห็นได้ว่า ถ้าจะเป็นเรื่องแบบนี้ มันต้องเป็นคุณเท่านั้น

 

การทำงานเป็นกลุ่มก็ต้องเเชร์ไอเดียกัน พวกคุณเคยทะเลาะกันบ้างไหม ?

มีบ้าง... มีอยู่เเล้ว แต่เราก็ค่อยๆ คุยกัน เนื่องจากวงเราไม่มีใครเป็นหัวหน้า การพูดคุยกันโดยไม่ต้องใช้อารมณ์แต่เราคุย กันด้วยเหตุผล ดูตามสถานการณ์ตามเหตุผล มันควรจะอะไรอย่างไร เราก็โตๆ กันแล้วก็น่าจะพูดคุยกันได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง บางทีเราก็ใช้ความเป็นประชาธิปไตยบ้าง บางทีเราก็ใช้ความถูกต้อง ด้วยความที่เราเล่นกันมาก่อนตั้งนาน ทำให้เรารู้ว่าใครชอบอะไรไม่ชอบอะไร ทำให้เราไม่ต้องพูดกันมากก็เข้าใจ คือพี่บอยก็เคยพูดกับพวกเราว่า พวกเราคือร่างกายเดียวกัน ขาดคนใดคนหนึ่งไม่ได้ ถ้าแยกกันร่างกายก็ตาย มันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เราต้องเอามาคิด เพราะว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรเราก็ต้องไปด้วยกัน

 

ถ้าถามว่าอะไรคือเอกลักษณ์ของวง Room 39 พวกคุณพออธิบายได้ไหม ?

ทอม : ก็คงเป็นความสบายๆ ของพวกเรา มีความเป็นกันเอง ด้วยความเป็นกันเองของเราบางครั้งเราก็เตรียมเพลงไป เเต่ถ้าคนฟังเขาอยากฟังนอกเหนือจากนั้นเราก็พยายามเล่นให้ มันคือความสดที่เราพูดคุยกันได้


แว่นใหญ่ : ในความรู้สึกผม ผมมองว่าเราคือวงดนตรีที่ไม่ได้มีชื่อเสียงแต่เเรก เราจึงเรียบง่ายมากกับคนที่เข้ามาฟังเพลงกับพวกเรา ครั้งที่มีคนเข้ามาดูพวกเรา ผมถ่ายรูปเก็บเอาไว้ เราดีใจมากที่เขาชอบเรา เรารู้สึกว่าเขาพิเศษสำหรับเรา ด้วยความพิเศษเหล่านี้ มันทำให้เราคิดว่า เอกลักษณ์คือความธรรมดาที่ใครๆ ก็จับต้องได้ จึงทำให้ใครๆ ก็อยากลองเป็นแบบพวกเราบ้าง เราอาจจะเป็นตัวแทนของการที่คนธรรมดาที่สามารถสร้างช่องทางของตัวเองได้

 

การทำงานกับพี่บอย พี่บอยได้สอนการเป็นศิลปินอะไรให้กับคุณบ้าง ?

ทอม : พี่บอยได้ให้คำแนะนำในเรื่องของความคิดมากกว่า เพราะพวกเราชอบกังวลเรื่องเพลง หลายอย่างมาก ในเรื่องการทำงานไม่มีใครบอกใครเลยว่ามาทำงานต้องทำแบบนี้ ต้องใส่เสื้อผ้าแบบนี้ เพราะพี่บอยบอกว่าให้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องให้ใครมาบอกว่าต้องทำอะไร พูดอะไร แต่กลับเป็นเรื่องความรู้สึกที่พี่บอยให้การดูแล พี่บอยบอกว่าความกังวลไม่ได้ทำให้งานเราดีขึ้น ตอนนี้เริ่มมีคนรู้จักเรา ชอบเรา แต่เรื่องเเบบนี้ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ เขาอาจจะไม่ชอบเรา แต่สิ่งที่เราทำได้คือ ทำงานของเราให้ดีที่สุด พี่บอยบอกเราว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้นะที่เราปล่อยเพลงแล้วมันจะฮิตทุกครั้ง พี่บอยก็เคยบอกพวกเราว่าหลายครั้งที่พลาด มีดังบ้างไม่ดังบ้าง เหมือนต่อยมวย ค่อยๆ แย็บๆ จะต่อยแรงทุกหมัด ทุกนัดเลยไม่ได้

 

 

 

ถามเรื่องความฝันบ้าง ความฝันยังจำเป็นกับพวกคุณอยู่หรือเปล่า ?

ยังจำเป็น และเราคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ยังจำเป็นอยู่สำหรับทุกคน และก็ควรจะมีอยู่อย่างนั้นตลอดไปด้วย แต่ในความฝันยังต้อง แยกแยะว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ สิ่งที่ยังจำเป็นอยู่ในชีวิตคืออะไร เช่นผมฝันจะเป็นนักดนตรีแต่จะไม่ทำอย่างอื่นเลย มันก็คงไม่ได้ คุณต้องเข้าใจว่าก่อนจะไปถึงฝั่งฝันบางทีเราอาจต้องทำงานที่เราไม่ชอบ ความฝันจึงต้องมีแรงที่จะขับเคลื่อนในเส้นทางของมัน

แต่ก็อย่าไปเครียดกับความฝันมากนัก ความฝันมันต้องลงมือทำ แต่จะทำอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับคุณ ให้ขึ้นอยู่กับความเป็นจริงด้วย ความฝันยังมีอยู่ แต่ก็ต้องปรับใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันด้วย สำคัญที่สุดเลยในการทำความฝันนั้นคือ ความสุข คุณต้องมีความสุขในขณะมีความฝัน เพราะถ้าไม่มีความสุข คุณก็อาจต้องล้มเลิกกลางทาง แต่ถ้าทุกก้าวที่เราเดินไปสู่ความฝันแล้วมันมีความสุข ต่อให้ไม่ถึงฝัน เราก็ยังมีอะไรบางอย่างให้จดจำ

 

ความแตกต่างที่คุณได้รับรู้จากการมีเพลงเป็นของตัวเองแล้วคือ ?

ก็ไม่ค่อยได้แตกต่างนะครับ ทุกวันนี้เราเปิดเฟสบุ๊คขึ้นมาเพื่อเอาไว้คุยกับแฟนๆ ขอเพลงได้ เราโต้ตอบกันได้ ด้านทัศนคติเราก็เปลี่ยนแปลงไปบ้างหลังจากเมื่อก่อนเราไม่รู้เรื่องธุรกิจดนตรีเขาทำงานกันอย่างไร แต่ตอนนี้เริ่มเข้าใจ จริงๆ แล้วทัศนคติเราอาจเหมือนเดิมแต่เรารู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มากขึ้นมากกว่า ทำให้เราโตขึ้นจากเมื่อก่อนเราเล่นไปวันๆ ทำให้เราเข้าใจว่าเราต้องมีการรับผิดชอบมากขึ้นต่อวง ต่อแฟนเพลง อะไรที่เราทำก็แล้วแต่มีผลกระทบต่อแฟนเพลงเราเสมอ การวางตัวที่ดีเป็นเรื่องที่ทุกคนควรทำอยู่แล้ว มันเป็นมารยาททางสังคม เราเป็นที่จับตามอง เราต้องวางตัวอย่างไร เราถูกจับตามองมากขึ้น มันก็เป็นผลดีกับตัวเองอยู่เเล้ว แต่ว่าวางตัวดีมารยาทดีแต่ก็ต้องไม่เฟก


คุณอยากขอบคุณใครไหม ที่มาถึงทุกวันนี้ได้ ?

ทอม : อยากขอบคุณทุกอย่างเลยครับ พวกเราทั้งสามคน ขอบคุณทุกๆ คน ขอบคุณที่ติดตามเราตั้งแต่แรกเลย ให้โอกาสเราและยังเป็นกำลังใจให้เรา ขอบคุณตัวเราด้วยที่ยังช่วยกันทำให้ทุกคนรักพวกเรา

มน : จริงๆ คล้ายๆ กัน ต้องขอบคุณตัวเองที่ลุกขึ้นไปร้องเพลงที่ทำให้เรายังได้ร้องเพลงจริงๆ ต่อไป ขอบคุณแฟนๆ ทุกคน ขอบคุณทอม ขอบคุณพี่โอ ขอบคุณพี่กัสที่อัดวิดีโอให้เรา แฟนๆ ทุกคน

แว่นใหญ่ : ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ ขอบคุณอุปสรรคที่เข้ามาเป็นเครื่องกีดขวาง บางทีสิ่งเหล่านี้อาจเป็นสิ่งที่ทำให้เรามาถึงทุกวันนี้ได้ ถ้าไม่มีปัญหา ไม่มีอุปสรรคเราอาจไปไม่ถึงไหนเลยก็ได้ ขอบคุณเพื่อนๆ และก็ขอบคุณเหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ในชีวิต ขอบคุณในความยากลำบากในชีวิต มันทำให้เราได้พิสูจน์ว่าเรายังรักดนตรีอยู่ ขอบคุณพี่บอย ขอบคุณแฟนๆ ทุกคน ไม่มีทุกคนก็ไม่มี Room 39 ขอบคุณพี่ๆ ศิลปินทุกๆ วง ที่เป็นตัวอย่างและก็พี่ๆ ที่อนุญาตให้เราได้เอาเพลงมา COVER ขอบคุณ Youtube และ Facebook

 

 

Quote

"สำคัญที่สุดเลยในการทำความฝันนั้นคือ ความสุข คุณต้องมีความสุขในขณะมีความฝัน เพราะถ้าไม่มี ความสุข คุณก็อาจต้องล้มเลิกกลางทาง แต่ถ้าทุกก้าวที่เราเดินไปสู่ความฝันแล้วมันมีความสุข ต่อให้ไม่ถึงฝัน เราก็ยังมีอะไรบางอย่างให้จดจำ"

"กังวลไปก็เท่านั้น มันเหมือนดินฟ้าอากาศ เราควบคุมอะไรมันไม่ได้ เราได้เเต่ทำให้ดีที่สุด และก็รอผลที่จะเกิดขึ้นมันเป็นอย่างไร"

"พวกเราคือร่างกายเดียวกัน ขาดคนใดคนหนึ่งไม่ได้ ถ้าแยกกันร่างกายก็ตาย มันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เราต้องเอามาคิด เพราะว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรเราก็ต้องไปด้วยกัน"

 

อัลบั้มภาพ 5 ภาพ

อัลบั้มภาพ 5 ภาพ ของ BE MAGAZINE : ตุลาคม 2554

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook