BE MAGAZINE : สิงหาคม 2554

BE MAGAZINE : สิงหาคม 2554

BE MAGAZINE : สิงหาคม 2554
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

Cover Story
เรื่อง : กิตติพจน์ อรรถวิเชียร / ประสานงานปก : รัตติกาล พูลสวัสดิ์

ปาล์มมี่ - อีฟ ปานเจริญ .... จุดเปลี่ยนเพื่อเรียนรู้หัวใจตนเอง

 

 


ในขณะที่ชีวิตกำลังหมุนไป ก็มีสิ่งหนึ่งที่เข้ามาเป็นตัวแปรให้ชีวิตของเรามีการพลิกผัน และต้องฉุกคิดอยู่เสมอว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา ผมเรียกมันว่า "จุดเปลี่ยนและการเปลี่ยนแปลง" โดยเฉพาะคำว่า "จุดเปลี่ยน" หลังพูดคุยกับ "ปาล์มมี่" หรือ อีฟ ปานเจริญ ผมก็ได้เรียนรู้คำว่าจุดเปลี่ยนได้เป็นอย่างดี ตลอดชีวิตการทำงานดนตรีของเธอที่ต้องพบเจอผู้คนมากมาย ต่างจิตต่างใจ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในแต่ละครั้งก็ยากจะคาดเดาว่ามีผลในรูปลักษณ์แบบใด

ผมเชื่อว่าจุดเปลี่ยนที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งของชีวิต ล้วนมีความหมายที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ดีที่ทำให้เรารู้สึกประทับใจเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นกับชีวิต แต่เมื่อชีวิตได้ให้สิ่งที่มีความหมายต่อการดำรงอยู่ ชีวิตพยายามบอกเราว่า ชีวิตอยู่ท่ามกลางความจริงที่ว่า "ไม่มีอะไรแน่นอน" และ "จุดเปลี่ยน" มาคอยเป็นตัวแปรให้หลายสิ่งมีความแตกต่างกัน เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ ณ ปัจจุบัน ทำวันนี้ให้ดี ทำอย่างเต็มกำลัง ผมคิดว่าความหมายเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ต่างคนต่างต้องค้นหา พบเจอกันเอง ทุกคำที่เธอเล่าให้ผมฟัง ท่าทีที่เธอแสดงออก มันสะท้อนให้ผมสัมผัสได้ถึงประสบการณ์ที่เรียกว่า "ของจริง"

คุณยังสังกัดที่แกรมมี่อยู่หรือเปล่า

คือเดี๋ยวเราต้องพูดตรงนี้กันก่อน เพราะเดี๋ยวมันจะงง เพราะเราออกไปช่วงนึงประมาณเกือบ 3 ปีละ เพราะว่าสัญญาหมด เราก็เลยคิดว่าถ้าเราอยากทำอัลบั้มใหม่ เราก็อยากทำมันเพื่อตัวเอง เริ่มมันด้วยตัวเอง แล้วก็เริ่ม selection เราก็เลยคุยกันว่าโอเค ถ้าช่วงสัญญามันหมด เราก็ไม่ได้คิดจะอยากทำอัลบั้มใหม่ เราก็เลยออก และก็ไปท่องเที่ยวพักผ่อน ทำอะไรไปหลายอย่างพอสมควร และก็พอมันได้ที่อยากจะทำ รู้สึกแล้วล่ะว่าอยากทำ เริ่มทำอัลบั้ม ก็เลยเริ่มมันด้วยตัวเอง ปั้นมันมาทีละเพลง กับทีมงานข้างนอก ก็ค่อยๆ ทำไป อยากทำงานกับใครก็คือเข้าไปทำด้วยเลย ระหว่างที่เพลงยังไม่เสร็จเราก็ยังไม่ได้คิดว่าเราจะอยู่ตรงไหน

แต่ก่อนออกมาก็เคยคุยทิ้งทวนเอาไว้ว่า ถ้าเรายังออกอัลบั้มอีก เราจะคุยกับพี่เล็ก บุษบา เป็นคนแรก และก็เล่าให้พี่เล็กฟังว่าการทำเพลงของเราเป็นอย่างนี้ แล้วเราทำใกล้เสร็จแล้ว เราทำไปประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์แล้วอะ ซึ่งพี่เล็กก็น่ารักมาก เลยเปิดใจคุยกันว่ามีตรงไหนบ้างที่อยู่ด้วยกันแล้วมันแบบเคยติดขัดตรงไหน ก็ใช้เวลาจูนกันไม่นาน ก็กลับมาทำงานอีกครั้งหนึ่ง เป็นเหมือนกลับบ้านเก่าใช่มั้ย.. แต่ว่าเป็นบรรยากาศใหม่ๆ

ในฐานะที่แกรมมี่เป็นบ้านเก่า แกรมมี่ได้ support อัลบั้มนี้ในด้านไหนบ้าง

ก็แทบทุกเรื่องค่ะ ยกเว้น production ของเพลงชุดนี้

แล้วเรื่องทำเพลงคุณทำกับทีมที่มีอยู่แล้ว

ทำกับทีมที่มีอยู่... ใช่ค่ะ

รู้สึกเพลงแรกที่ปล่อยมาคุณก้อ (ณฐพล ศรีจอมขวัญ) เป็นคนแต่งเพลง และทำดนตรีด้วย ทำไมถึงเลือกทำงานกับคุณก้อครับ

ชอบผลงานพี่ก้อค่ะ เอ่อ.. จริงๆ แล้วพี่ก้อเคยเข้ามาช่วยทำเพลงในช่วงแรกๆ ด้วย แต่ตอนนั้นยังไม่ตอบตกลงว่าจะโปรดิวส์ให้ มี่ก็ทำต่อไปเรื่อยๆ แต่ตอนนั้นมี่เองก็ทำของตัวเองไป 7 เพลงแล้ว

หมายถึงอัลบั้มนี้ คุณทำเองไป 7 เพลงแล้ว

ใช่.. และก็ตอนนั้นยังไม่เจอพี่ก้อ แต่ว่าเคยคุยกันนานแล้วประมาณ 3 ปีที่แล้วว่า พี่ก้อ..ถ้ามี่ทำอัลบั้มใหม่ พี่ก้ออยากทำด้วยกันเปล่า เพราะว่ามี่ชอบอัลบั้มกรูฟไรเดอร์อันนั้นมากเลยนะ และมี่รู้สึกว่าเขาต้องเป็นคนละเอียดอะ เขาถึงจะทำงานออกมา detail ขนาดนั้นแล้วแบบการอัดการอะไรมี่รู้สึกว่า เราหาอัลบั้มดีๆ แบบนี้ฟังไม่ค่อยมีหรอก ที่มันฟังได้ทั้ง 10 เพลง แล้วถ้ามี่จะทำงานอีกครั้ง มันจะต้องเป็นอย่างนั้น ไม่งั้นมี่ไม่ทำดีกว่า แล้วก็ไม่อยากขึ้นไปร้องเพลงที่มันเป็นเพลงยัดๆ มา แล้วเราจะต้องมารู้สึกว่า โอ๊ย..เพลงนี้ไม่ชอบเลย ทำไมมันต้องมาอยู่ในอัลบั้มเราด้วย คือพอแล้วไงคะ ก็เลยมีเรื่องนี้ติดอยู่ในใจตลอดว่า อื้ม..พี่ก้อ วันนึง โอเคๆ จนเขาก็ปฏิเสธนะเพราะว่าเขา (หัวเราะ) ไม่รู้เหมือนกัน ต้องไปถามเขาว่าทำไมเขาไม่อยากทำให้ตอนแรกอะ พอเรื่องราวมันดำเนินมา คือการรับเป็นโปรดิวเซอร์เซ็ตอัลบั้มนึงมันหนักนะ

เพราะนั่นหมายถึงมันต้องดูทุกอย่างเลย มี่ก็ยังหาคนนั้นไม่ได้ มี่ก็เก็บเพลงไว้สต็อคไว้ประมาณเต็มที่แล้วล่ะ ก็มาเจอเขา แล้วมี่ก็เลยถามเขา พี่ก้อแต่งเพลงให้เพลงนึงได้มั้ย เอาแบบประมาณนี้ ซาวด์ประมาณอย่างนี้ เขาก็บอกได้ พี่ชอบเพลงประมาณแบบนี้เหมือนกัน เขาก็เลยแต่งเพลงนึงขึ้นมา ชื่อ Shy Boy แล้วก็มันเหมือนว่าเขารู้สึกว่ามันไม่สุด เพราะมี่เอาไป arrange เป็นแบบที่มี่ชอบ เขาก็รู้สึกว่ามี่ งั้นเรามาทำเพลงนึงที่มันเป็น Motown จริงๆ เลยดีกว่า Motown ที่ตั้งแต่ต้นยันจบอะ ที่ไม่มีเสียงอะไรมาระคายว่ามันไม่ใช่ Motown มี่ก็เลยบอกว่าโอเค งั้นพี่ก้อแต่งมาใหม่เลย 1 เพลงเต็มๆ มี่จะไม่แตะอะไรเลยพี่ พี่ทำมาเลยนะ ก็เลยเป็นเพลงคิดมาก

 

 

ทำไมถึงเลือกเอาเพลง คิดมาก เป็นเพลงโปรโมท

จริงๆ มี่เลือกไว้ 2 เพลง อีกเพลงนึงมันเป็นเพลงที่ส่วนตัวพอสมควร และมันเป็นเพลงเร็ว

ส่วนตัว หมายถึงว่า...เนื้อหา

เรื่องที่อยากพูดมันเหมือนมันไปพาดพิงถึงคนอื่น มันก็เลยไม่ friendly

สำหรับการแรกเจอใช่มั้ยครับ

ใช่ (หัวเราะ) มันก็มีเพลงนี้ที่รู้สึกว่ามันสื่อสารกับความรู้สึกจริงๆ ด้วย จริงๆ ที่ผ่านมาช่วงระยะที่มี่หายไป เวลามี่เดินออกไปข้างนอกคนก็มักจะถามว่า หายไปไหน ไม่ทำแล้วเหรอ ทำอะไรอยู่ อะไรอย่างนี้ ก็เลยรู้สึก มี่เก็บความรู้สึกอย่างนี้มาเรื่อยๆ อะ จนระหว่างเริ่มทำเพลงก็กดดันนะ แล้วก็มีคำถามเรื่องพวกนี้อยู่แหละว่า เฮ้ย..แล้วถ้ากลับมา มันช้าไปเปล่าที่เราจะกลับมา เราก็อยากถามแหละว่า เฮ้ย..ยังเหมือนเดิมเปล่า ยังรักฉันแบบที่เธอรักฉันวันนั้นรึเปล่า ยังคิดถึงกันอยู่รึเปล่า อันนี้ก็รู้สึกมัน simple แล้วก็ง่ายที่จะสื่อสารอะ ถ้าเป็นอีกเพลงมันอาจจะ เอ้อ.. เห้อๆๆ (ขำ) มี่เครียดไปรึเปล่าไรอย่างนี้

ตอนนี้เป้าหมายสูงสุดในชีวิตตอนนี้ของคุณคืออะไรครับ

เป้าหมายของมี่คือการอยู่กับปัจจุบันและทำให้มันดีที่สุด นี่คือสิ่งที่มี่ต้องทำให้ได้ โดยที่ไม่คาดหวังกับอะไรมากเกินไป เพราะว่ามี่เคยเป็นคนที่แบบคาดหวังกับทุกเรื่องที่ตัวเองทำ เพราะว่ามันจะต้องเป็นไปตามลำดับที่มี่วางเอาไว้ และก็พูดง่ายๆ คืออยากให้ทุกอย่างสมบูรณ์ที่สุด แต่ว่าในชีวิตจริงแล้วมันไม่เป็นอย่างนั้น แล้วเวลาที่เราเจอกับความเสียใจมันบั่นทอนเกินไป แล้วมันใช้เวลานานเกินไปที่จะทำให้เรากลับมาเป็นปกติ เราก็เลยรู้สึกว่า สิ่งนี้คือสิ่งที่เราต้องทำให้ได้ แล้วเราคาดหวังกับตัวเองพอสมควรว่า เอ๊ย..อยู่กับ ณ เวลานี้พอแล้วก็ไม่ต้องไปคาดเดาอะไรกับมันมาก

เหมือนกับว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงกระบวนการเรียนรู้... เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน

ใช่

จากที่คุณบอกว่าช่วงที่หายไปได้ทำเพลงและได้เดินทาง คุณได้เรียนรู้อะไรระหว่างการหายไปบ้าง

ก็ได้เรียนรู้หัวใจตัวเองว่าเรายังมีความอยากที่จะทำ เรายังมีความสนุก ความบ้าบอคอแตก ที่อยากจะบ้าบอบนเวที เพราะว่าช่วงที่หายไปช่วงแรก นี่คือมี่จะเช็คอาการตัวเองตลอดว่ามีความสุขเปล่า ที่ทำอยู่ ถ้าไม่มีหยุดเถอะ เพราะว่าเจ็บไง เพราะว่าต้องไปทำสิ่งที่ไม่อยากทำอะ แล้วก็เบื่อด้วย แล้วเราจะเอาอารมณ์นั้นออกไปให้คนอื่นรู้สึกหรือสัมผัสได้ เพราะมี่เป็นคนเก็บไม่ได้ไง ถ้ามี่รู้สึกปุ๊บ มันแบบทุกคนเห็นน่ะ มี่ก็เลยรู้สึกว่า โอเค

ถ้ามี่มีตรงนั้นขึ้นมาปุ๊บ มี่แย่แล้ว และมี่ควรต้องเบรค มี่ควรต้องพัก พอมี่พักไป มี่ก็ทดสอบโดยการกลับมารับงานสักเดือนนึง มันก็ไม่ใช่อีก มี่ก็เลยหายไปเลย ที่นี้มี่ไปแล้ว บ๊ายบาย (หัวเราะ) มี่ไปตลอดนานเลยอะ จนมี่ก็รู้สึกว่าโอเค เขาคงให้เรามาแค่นี้จริงๆ คงไม่มีตรงนั้นอยู่ข้างในและที่อยากจะทำมันอีกครั้งนึงอะ ไม่มีเลยนะจริงๆ คือเบื่อ แล้วก็ไม่ฟังเพลงด้วย ไม่แบบไม่ทำอะไรข้องแวะเกี่ยวกับตรงนี้เลย ไม่ดูสื่อ ไม่ดูตัวเองเล่นคอนเสิร์ต ไม่ดูยูทูป ไม่ทำอะไรเลย มี่เพิ่งกลับมามองตัวเองอีกทีเมื่อประมาณเกือบๆ ปลายปีที่แล้วเอง คือนั่งดูยูทูปของตัวเอง เป็นครั้งแรกที่มี่กลับมาเหมือนเช็คงานของตัวเอง มี่ไม่เคยเช็คเลยนะ เพราะมี่ดูไม่ได้

ขออนุญาตถามคุณได้มั้ยว่า อะไรที่ทำให้คุณเกิดความรู้สึกว่าหงุดหงิด รู้สึกไม่ชอบ รู้สึกอยากจะหนีหายไป ความที่เราต้องเจองานที่ซ้ำบ่อยๆ หรือเจอคน หรือเจอสังคม

เราว่าทุกอย่างแหละ เราว่าทุกอย่าง มี่จะมีช่วงนี้เสมอเลย คือพอทำๆๆๆ เวลาทำนี่ใช้พลังงานเยอะมาก เพราะว่ามี่เก็บรายละเอียดเยอะพอสมควร ว่าแบบตรงนี้ๆ ตรงนั้น แล้วมันไม่ใช่แค่แบบออกไปร้องเพลงไง มันหลายเรื่อง มันเรื่องวงด้วย เรื่องแบบเรื่องมันออกยังไง งานนี้จะต้อง arrange เพลงยังไง จนบางครั้งมันรู้สึกว่ามันใช้ energy เยอะมาก แล้วมี่ใช้ความรู้สึกกับมันเยอะเกินไป จนบางทีแบบเหมือนตัวเองร่างกายทรุดโทรมไปหมดแล้ว แล้วก็แค่ต้องการมาเบรคแล้วก็ใช้ชีวิตปกติธรรมดาเถอะ เพราะไม่งั้นมันเหมือนมันอยู่ตรงนั้นมากๆ มี่ไม่ใช่เป็นคนอย่างนั้นที่สามารถอยู่ตรงนั้นได้ตลอดเวลา มี่ต้องมีสเปซตรงนี้ มันสำคัญมากๆ จริงๆ

 

 

คุณคิดว่าอะไรที่ทำให้เราถูกเรียกว่าเป็นศิลปิน

มี่ไม่เคยใช้คำพูด ไม่เคยเรียกตัวเองว่าเป็นศิลปิน ถ้าใครอยู่ข้างๆ มี่เนี่ย จะรู้เลยว่ามี่ไม่เคยใช้คำนี้ มี่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าการเป็นศิลปินมันต้อง Qualify อะไรมาบ้างหรือต้องทำอะไรมาบ้าง หรือว่าต้องเก่งแค่ไหน แต่ก็มี่พยายามทำสิ่งที่ตัวเองถนัดให้ดีที่สุด มี่แค่อยากร้องเพลง และอยากมีเพลงดีดี อยากแบบเดินไปข้างหน้ากับชีวิตตัวเอง เป็นลำดับว่าอัลบั้ม 1 ปีนี้มันเป็นอย่างนี้ วันนี้ที่ทุกคนเห็นนี่ปี 2011 มี่เดินทางไปถึงไหนแล้ว แล้วมี่ทำอะไรอยู่ แค่นั้นเอง มี่เรียกแค่ว่าตัวเองเป็น Music Lover แล้วก็รักในสิ่งที่ตัวเองทำ ไม่ใช่ศิลปินอะไรแบบนั้น ไม่เคยเรียกตัวเองแบบนั้นเลย ไม่รู้จะตอบว่าอะไร (หัวเราะ)

การทำเพลงของคุณในอัลบั้มนี้มีเป้าหมายไว้ว่าอย่างไรครับ

เป้าหมายคือ ฟังได้ 10 เพลง เป้าหมายของมี่ คือ มี่ไม่ต้องทำงานไปส่งใคร มี่ทำงานส่งตัวเอง เพราะฉะนั้นทุกเพลง ถ้าคนที่ซื้ออัลบั้มนี้ไป สิ่งนึงที่เขาจะรู้สึกได้ว่าชอบไม่ชอบเนี่ย เนี่ยคือมี่วันนี้ ถ้าไม่ชอบคือ โอเค sorry มันก็เป็นไอเดียมี่เอง (หัวเราะ) มี่ก็จะยอมรับมันด้วยตัวเอง แล้วก็ถ้าชอบ มี่ภูมิใจกับมันมากๆ เลยกับงานครั้งนี้ มี่โคตรภูมิใจเลย ที่มี่ได้เริ่มมันแล้วมี่ไม่ต้องเอาเพลงนี้ไปส่งให้ใคร แล้วก็มานั่งเคาะกันว่า เอ้ย..อันนี้ไม่ใช่หรอก อันนี้ร้องอย่างนั้นอย่างนี้ คือเนี่ยแหละ คือสิ่งที่มี่จะทำ แล้วมันเป็นอย่างนี้ แต่กระบวนการนี้มันจะไม่เสร็จ ถ้ามี่ไม่เจอกับทีมงานที่มี่ร่วมงานกับเขามา มันอาจจะไม่ใช่ทีมเป็นกลุ่มเป็นก้อน เพราะว่ามี่เดินไปหาคนที่แบบ มี่รักที่จะทำงานด้วย และเขาก็มีเวลาที่จะขลุกกับมี่ได้ แล้วเขาคุยกันเข้าใจ คุยกันรู้เรื่องแค่นั้นเอง คนพวกนี้เป็นคนที่มีความสามารถมากเลยนะ

แล้วสำหรับมี่คือ อัลบั้มนี้จะไม่สมบูรณ์เลยถ้าไม่มีพี่ก้อ ที่เขามาช่วยตบแต่ง มาช่วยทำให้ทุกอย่างมันเดินหน้าแล้วมีคุณภาพอะ ในการอัดในการทำอะไรอย่างนี้ แล้วมี่ได้เรียนรู้จากเขาแบบค่อนข้างเยอะพอสมควร มี่รู้สึกว่าเขาเข้ามาเป็นฮีโร่ของมี่ในตอนนี้ ในเวลานี้ อย่าลืมว่ามี่ไม่เคยทำหน้าที่นี้มาก่อน โดยการแบบว่าสร้างทีมงานขึ้นมา แล้วบิ๊วมันมาตั้งแต่เพลงแรก นั่งแต่งมันเองในบางเพลง จะได้ใช้หรือไม่ได้ใช้ในอัลบั้มนี้ แต่มันเป็นสกิลที่มี่ได้ฝึกฝน มี่รู้สึกว่าขั้นตอนนี้สำคัญกับชีวิตมี่มากเลย คือมี่ได้ลงไปอยู่กับมันจริงๆ ในทุกขั้นตอน คือตั้งแต่เดโม่ จนถึงมิกซ์เสียง จนถึงมาสเตอริ่ง จนถึงภาพโปรดักชั่นที่ออกมาทุกวันนี้ที่คนได้เห็น ไอเดีย อาร์ตเวิร์กอะไรอย่างนี้ มี่รู้สึกว่าโอเคมี่ภูมิใจ และนี่เป็นสิ่งที่มี่ได้

คือผมสัมผัสได้เลยครับว่าคุณภูมิใจมาก คุณคิดว่าจากอัลบั้มแรกมาถึงอัลบั้มล่าสุด ระยะเวลามันเดินทางมานานมาก อะไรที่ทำให้คุณโตขึ้น แล้วก็สร้างคุณมาเป็นวันนี้

ถ้านับจากวันนั้นมี่ว่า มี่มีทีมงานที่แข็งแรงมากอัลบั้มแรกอะ แล้วมันเหมือนจากการพูดคุยกันมากๆ มันเหมือนถูกฝังข้อมูลบางอย่างที่มันทำให้มี่รู้สึกว่า มี่ต้องดีให้พอที่มี่จะอยู่ตรงนี้ได้ มี่ยึดกับสิ่งนี้แล้วมี่ก็ทำมัน คือ ตอนนั้นมี่พิสูจน์กับทีมงานว่า มี่อยากดีให้พอที่ให้เขาแต่งเพลงดีๆ ให้มี่ร้อง จนวันนึงมี่จะมีทีมไม่มีทีม แต่มี่รู้สึกว่า มี่จะดีให้พอที่มี่จะอยู่วงการเพลงนี้ได้แล้วอย่างภาคภูมิใจอะแค่นั้นเอง

ไม่ใช่แค่ Pop Idol คนนึง วันนั้นมันเป็น Pop Idol มี่ไม่ปฏิเสธ แต่ว่ามี่อยากทำมันมาเรื่อยๆ โดยที่แบบมี่รักมันจริงๆ แล้วไม่ได้อยากจะมาฉวยโอกาสจากอาชีพนี้ มาเป็นดารา นักแสดง หรืออะไรที่ใช้โอกาสตรงนี้ตักตวงให้ชีวิตตัวเองร่ำรวยขึ้นหรืออะไรอย่างนี้ มี่แค่ต้องการทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ แล้วก็ให้มันเป็นไปตามอายุ และความคิดมี่ ณ เวลานั้น

คุณคิดว่า ถ้าคุณไม่ได้ทำงานเพลง คุณคงทำอะไรอยู่ครับตอนนี้

ปลูกต้นไม้ขายค่ะ

คุณชอบต้นไม้

ใช่ ระหว่างที่เราหายไป เราก็ได้ลองสองอย่างที่เราชอบคือ ทำเฟอร์นิเจอร์กับปลูกต้นไม้ เป็นร้านขายต้นไม้อะไรอย่างนี้

ทำที่ไหนครับ ในประเทศเราหรือว่า

ไม่... มี่ไม่ได้ไปเปิดร้านนะ แต่ว่ามี่ง่วนอยู่กับการไปบางโพธิ์แล้วก็ (หัวเราะ) มี่ไม่ได้เป็นคนตอกไม้ ตอกอะไรอย่างนี้ แต่มี่ชอบการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน แบบหาของอะไรอย่างนี้

คุณคิดยังไงกับการประกวดร้องเพลงในสมัยนี้ครับ

มี่ไม่ค่อยได้ติดตาม เอ่อ...การประกวดร้องเพลงใช่มั้ย

เหมือนกับว่าเดี๋ยวนี้มีคนอยากเข้ามาในวงการนี้มาก และก็เข้ามาด้วยการประกวดเยอะไปหมดเลย มันก็มีทั้งหลายๆ กระแสว่าจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่จริงๆ แล้วหลักยึดในการที่จะประกวดจริงๆ มันคืออะไร

คือมี่ว่าเวลาจะพิสูจน์ทุกคนเอง แล้วก็ทุกคนจะมองเห็นมันเองแหละว่า มันจริง มันไม่จริง หรือว่าอยากทำให้มันดีจริงๆ รึเปล่า ถ้าอยากทำมันก็ มันก็จะมีความอยากอย่างนี้ใช่มั้ยคะ แล้วก็อยากจะทำให้ตัวเองพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ แล้ววันนึงคนจะเห็นเองว่าคุณพัฒนาจริงหรือเปล่า หรือว่าคุณย่ำอยู่กับที่ หรือว่าคุณแค่เข้ามาเพื่อสนุกสนาน (เพื่อกอบโกย) ใช่ ปัญหามันเป็นเรื่องแล้วแต่ ถ้าเป็นเด็กวัยรุ่นมันก็ เราไม่รู้นะ เพราะเราไม่ได้เข้ามาจากการประกวดไง เราเข้ามาจากการที่เราอยากทำมัน และเราเดินเข้ามา เอาเพลงที่เคยแต่ง หรืออะไรอย่างนี้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ดีเด่อะไร ไม่ได้มาตรฐาน แต่ว่าอย่างน้อยคือ ไม่ได้โกหกตัวเองอะ จริงใจในสิ่งที่ทำ แล้วก็ซื่อสัตย์

คุณคิดว่าคุณภาพของสังคมหรือขนาดของสังคม มีผลต่อการดำเนินชีวิตเรามั้ยครับ

มีผลมาก มีผลมากเลยอะ ทุกวันนี้เหมือนทุกคนต้องมีวัคซีนนั้นเหมือนกันอะ ที่จะไม่โอนเอนไปตามกระแสนิยมหรืออะไรอย่างนี้ เพราะไม่งั้นมันก็จะเหลวแหลกไปตามสภาพที่มันเป็นน่ะ อย่างที่ทุกอย่าง ทุกคนต้องการอะไรเร็วๆ ไง อย่างมี่สัมผัสได้ อย่างเฟซบุ๊คอย่างนี้ มี่รู้สึกว่าเราปล่อยไปเพลงอย่างนี้ ยิ่งมี่ชอบบรรยากาศแบบเก่าๆ อะ ที่มันแบบเพลงออกมาแล้ว ยื่นให้ แล้วคุณก็เอาไปฟังดิ ชอบไม่ชอบก็เอามาบอกกัน นี่มันแบบพอยื่นไปเพลงนึง.. เฮ้ยๆ เอ็มวี เฮ้ยๆ คือ เรารู้สึกว่าใจเย็นๆ กันก่อนมั้ยอะ หรือแม้กระทั่งการทำอัลบั้ม มี่ว่า 3 ปีมันไม่ได้นานนะ เราเคยรอศิลปินหรือว่าวงที่เราชอบๆ อย่างนี้ 6 ปีออกมาอัลบั้มนึง สากลอย่างนี้ เรารู้สึกว่าแบบพอออกมาแล้วชื่นใจ

คือเขาตั้งใจทำออกมาจริงๆ ไม่ใช่แบบเป็น Factory ที่เป็นโรงงานผลิตออกมาอะไรอย่างนี้

ใช่... มันรู้สึกว่าพอทุกคนต้องการอะไรเร็วๆ แล้วทุกอย่างมันแย่ไปหมดเลย เราไม่ใส่ใจกับบางเรื่องที่ต้องใส่ใจ มันถึงทำให้สังคมมันเป็นอย่างนี้รู้ปะ ถ้าทุกคนรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง แล้วทำมันให้ดีที่สุด เราจะมีบุคลากรที่เก่งในแต่ละสาขาอาชีพอะ แล้วเวลาสมมุติเราต้องการพึ่งพาอาศัยกันน่ะ มันจะบรรลุเป้าหมาย แล้วเราจะเดินไปข้างหน้าพร้อมกับประเทศอื่นๆ ไม่ใช่ว่าเราต้องไปเหมือนใครด้วยซ้ำ แต่ว่าเราจะเดินพร้อมกันไปด้วยคุณภาพ ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่แบบเราเดินไป หันมาลากไอ้นี่อีกแล้ว ลากอะลากได้นะ ถ้าไม่เหนื่อยที่จะลาก แต่ลากแล้วช่วยซึมซับด้วย ไม่ใช่ลากแล้วแบบทิ้งตัวอย่างเดียว ให้เราลากอะ เราก็เหนื่อยอะ ทุกคนมันต้องช่วยกัน พูดเรื่องนี้มันหลายเรื่อง มันหลายปัจจัยมาก สื่อด้วยอะไรด้วย ทุกอย่างมันประโคม

หรือนี่คือเหตุผลที่ทำให้คุณรู้สึกว่าไปพักผ่อนดีกว่า ไปอยู่กับตัวเองดีกว่า

ส่วนนึงใช่

 

 

 

คุณเคยจินตนาการมั้ยครับ อยากมีชีวิตยังไง กินอยู่ยังไง แก่ตัวลงไปยังไง

เราไม่เคยมีจินตนาการแบบนั้นเลย เราแค่คิดว่าชีวิตทุกวันนี้ที่ใช้อยู่มันก็ดีมากอยู่แล้ว มี่แค่มีอาชีพเป็นนักร้อง แต่ว่าชีวิตมี่ก็คือ ใช้ชีวิตเรียบง่ายแบบปกติ ถ้าเราต้องการพักเราก็แค่พัก ถ้าเราต้องการพักผ่อนเราก็แค่ไป ถ้าเราต้องการไปเห็นอะไร เราก็ได้ไป ได้เห็น

อย่าสร้างเงื่อนไขเยอะ

ใช่.. มี่ไม่เคยมีเงื่อนไขกับชีวิตส่วนตัวของมี่เลยนะ แต่ถ้าเรื่องการทำงานเงื่อนไขมี่เยอะ ใช่ เพราะว่าไม่รู้สิ คนเรามันต้องมีทิศทางน่ะ เงื่อนไขแต่ละคนมันไม่เหมือนกันน่ะ มันก็ต่างกันแหละ แต่ชีวิตส่วนตัวก็คือ ปกติ ปกติมากๆ และมันทำให้เรามีแรง

คุณให้น้ำหนักกับอะไรมากที่สุดที่มีผลต่อการดำเนินชีวิต เหมือนอะไรเป็นแรงบันดาลใจคุณ อะไรที่มันทำให้คุณรู้สึกว่าต้องเดินไปข้างหน้าต่อ ทำงานเพลงต่อ แฟนเพลง หรือความอยากในใจ หรือสิ่งใหม่ๆ ที่จะเจอ

ทั้งหมดเลยอะที่พูดมา สิ่งใหม่ๆ ที่เจอก็เป็นหนึ่งแรงบันดาลใจแหละ และก็แฟนเพลงก็ใช่ด้วย ส่วนนั้นก็ประกอบกันด้วย ความอยากก็ใช่ ทั้งหมดแหละ โดยรวมก็คือ ตัวเองต้องอยากทำมันก่อน ถ้าไม่อยากเราจะเอาอะไรออกมาให้อ่ะ ถ้าเราไม่รู้สึกกับมัน คือมี่ทำอะไรมี่ใช้ความรู้สึกล้วนๆ ซึ่งบางทีถึงบอกไง พอไปเจอเรื่องอะไรที่มันแย่ปุ๊บ มันเลยแย่เลยไง แต่ว่าทุกวันนี้พยายามเรียนรู้อยู่ว่าบาลานซ์มันยังไง ทำให้ตัวเองมีความสุขกับงานที่ทำ บาลานซ์สำคัญมากๆ เลย ไม่งั้นพอเราอินกับงานมากเกินไป เฮ้ย..ตายละ ถอนตัวไม่ขึ้น มารู้ตัวอีกที อ้าว..นี่เราคิดไปเองคนเดียวหรอเนี่ย มันเป็นอย่างนั้นไง แล้วก็เนี่ย พวกนี้ทั้งหมด มันคือน้ำหนักของชีวิตทั้งหมดของทุกๆ มุม

คุณเคยรู้สึกหงุดหงิดกับเรื่องอะไรในสังคมบ้างมั้ยครับ แล้วมีวิธีการปรับจูนอารมณ์ตัวเองยังไง

มีเยอะอะ เช่น ก็เห็นรณรงค์กันตั้งหลายๆ เรื่อง แต่ก็ไม่ค่อยมีใครทำตาม เราก็ทำดีที่สุด คือเราทำไง เราทำแบบ ไม่ได้หวังว่าใครจะมาเห็น แล้วก็แค่ต้องเปิดหูเปิดตาแล้วก็ฟังและเห็นกันจริงๆ เถอะ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรในสังคมนี้ ในเรื่องสิ่งแวดล้อม ในเรื่องการพาสังคมนี้ไปทางไหน เราทำอะไรกับวัยรุ่นในปัจจุบันนี้ไปบ้าง เราโกงกินบ้านเมืองรึเปล่า เราทำเรารู้อยู่แก่ใจ ว่าเราซื่อสัตย์หรือไม่ซื่อสัตย์ ถ้าดูแค่งานกับหน้าที่ที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ แล้วไม่เอาเปรียบคนอื่น มันจะไม่มีเรื่องอะไรให้หงุดหงิดเลย

บางทีสังคมนี้บีบบังคับให้คนเห็นแก่ตัวไง ต้องเอาหน้า ถึงจะได้ (ภาพลักษณ์) ตัวเองไม่ได้คิดหรอก ไอเดียเนี้ย แต่ก็ขโมยงานคนอื่น แล้วมาบอกว่าฉันคิด ฉันเก่ง เพื่อให้ได้อะไรก็ไม่รู้ คือแบบนี้มี่ว่ามันน่าเกลียดมากเลย ไม่ละอายเหรอ เรื่องพวกนี้เป็นจุดเล็กๆ ที่มันทำให้ทุกอย่างเดินไปแบบสะเปะสะปะ แล้วก็เน่ามากเลย ดีที่สุดคือ ตัวเอง มองตัวเองแล้วก็ทำให้ดีที่สุดในสิ่งที่ตัวเองต้องทำ รับผิดชอบต่อสังคมนี้บ้าง ไม่ใช่มองแต่สิ่งที่ตัวเองต้องทำอย่างเดียว แบบมองรอบๆ ข้างด้วย ว่าเราทำดีกับเขาแล้วหรือยัง มองถึงเขาบ้าง เห็นหัวใจเขาบ้าง ส่วนการ ปรับจูนอารมณ์ยังไง กำลังฝึกอยู่

คุณอยากบอกอะไรกับแฟนเพลงที่จะได้อ่านหนังสือเล่มนี้ และจะได้ฟังเพลงของคุณแล้ว

ก็...ยากอะ (หัวเราะ) ใช่..มี่กลับมาแล้ว มี่กลับมาเป็นคนเดิมแล้ว (ออกกำลังกายแล้วเดี๋ยวมาดิ้นด้วยกัน) ได้ไงอะ..ใช่ (หัวเราะ) ก็มี่ตั้งใจมากอะอัลบั้มนี้ มี่แค่อยากจะบอกว่ามันไม่ง่าย ในการทำอัลบั้มนี้ มันสำคัญกับมี่มากจริงๆ มี่กินนอนกับมัน อยู่กับมัน คิดกับมันทั้งวี่ทั้งวัน พรุ่งนี้ทำไงต่อ พรุ่งนี้เพลงนี้จะแก้ยังไง ทุกอย่างที่ทุกคนได้ถืออัลบั้มนี้ มี่บอกได้เลยว่ามี่อยู่กับมันทุกขั้นตอน ไม่ว่าตัวหนังสือตัวเดียวที่มันอยู่ในอัลบั้มนี้ ทิศทางมันไปทางไหนหรืออะไรอย่างนี้ มันคือหัวใจของมี่ อัลบั้มนี้เลยนะ และก็มี่ภูมิใจกับมันมากเลยนะ เพราะมี่ไม่รู้ว่ามี่จะทำมันอีกเมื่อไหร่ และก็มี่จะหมดไฟอีกหรือเปล่า หลังจากที่ทัวร์อัลบั้มนี้ไปแล้ว และก็ไม่แน่ใจว่าจะมีแรงเยอะขนาดนี้ที่จะทำรึเปล่า เพราะว่ามี่ใช้แรงและ

ความรักทำอัลบั้มนี้จริงๆ ใช้เวลาประมาณ 2 ปีเศษๆ ตลอดมามี่เหมือนเก็บ เก็บกล่องนี้ไว้อะ แล้วก็แบบอ๊า... ดีใจมากเลย วันนึงอยากเปิดให้เขาดูว่า เอ้ย... ดูดิเราเก็บอะไรมาได้บ้าง (เหมือนของสะสมของเรา)

ใช่... แล้วแบบว่า อยากเอามาให้ดูทีละชิ้น ว่าได้มาอย่างนี้นะเว้ย กว่ามันจะประกอบมา แต่มี่คงอธิบายละเอียดขนาดนั้น คงไม่จบอะ สองปีเศษ มันไม่น้อยนะ และทุกวันมันคือมีเรื่องราวเกิดขึ้นตลอด แต่ไอ้แง่มุมแย่ๆ มี่คงไม่เอามาเล่า แต่มี่อยากบอกว่ามันมากในการทำอัลบั้มนี้ มี่ได้อะไรจากมันเยอะมาก และก็มันคือชีวิตของมี่ และก็เชิญเอาไปฟัง Enjoy it!

 

 

อัลบั้มภาพ 3 ภาพ

อัลบั้มภาพ 3 ภาพ ของ BE MAGAZINE : สิงหาคม 2554

ปาล์มมี่ - อีฟ ปานเจริญ
ปาล์มมี่ - อีฟ ปานเจริญ
ปาล์มมี่ - อีฟ ปานเจริญ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook