เมื่อน้องหมาและน้องแมวเป็นโรคหัวใจ
คำที่ถูกค้นบ่อย
    Sanook//s.isanook.com/sr/0/images/logo-new-sanook.png60060
    //s.isanook.com/wo/0/ud/2/10177/w_3.jpgเมื่อน้องหมาและน้องแมวเป็นโรคหัวใจ

    เมื่อน้องหมาและน้องแมวเป็นโรคหัวใจ

    2011-05-04T09:03:26+07:00
    แชร์เรื่องนี้

    เจ้าของหลายคนคงสงสัยว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าสัตว์เลี้ยงของเราเริ่มป่วยเป็น โรคหัวใจ จริงๆแล้วโรคหัวใจนั้นมีทั้งแบบที่ไม่แสดงอาการและแบบที่แสดงอาการแล้ว แต่เราจะเริ่มสังเกตเห็นอาการก็ต่อเมื่อโรคหัวใจที่เป็นนั้นส่งผลต่ออวัยวะ อื่นๆแล้วถึงจะแสดงอาการให้เราเห็น

     


    ปัจจัยต่างๆที่มีผลต่อการเป็นโรคหัวใจ

    อายุ - แบ่งเป็น โรคหัวใจที่เป็นมาแต่กำเนิด ซึ่งมักพบในสุนัขที่มีอายุน้อยกว่า 1ปี และโรคหัวใจที่เป็นภายหลัง มักพบในสุนัขที่อายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป

    สายพันธุ์ - มักพบว่าสุนัขพันธุ์ใหญ่ เช่น Doberman pinscher , Boxer มักพบว่ามีปัญหาเป็นโรคหัวใจจากการขยายขนาดของห้องหัวใจ ส่วนสุนัขพันธุ์ เล็ก เช่น Poodle, Pomeranian, Miniature schnauzers, Chihuahua, Shitzu เป็นต้น มักพบปัญหาของลิ้นหัวใจรั่วหรือปิดไม่สนิท ในแมว มักพบภาวะที่หัวใจหนาตัวมากขึ้นกว่าปกติ

    เพศ - พบว่าไม่ว่าจะเป็นเพศผู้หรือเพศเมียก็มีโอกาสเป็นโรคหัวใจได้ไม่ต่างกัน

    อาการที่พบ -ในสุนัขและแมวจะมีอาการที่แตกต่างกัน

    ในสุนัข

    1.เหนื่อยง่าย

    2.มีอาการไอ

    3.หายใจลำบาก

    4. เป็นลม หรือหมดสติ

    5. ท้องมาน

    6. มีภาวะบวมน้ำตามใต้ผิวหนังและอวัยวะส่วนปลาย

    7. เยื่อเมือกทั่วร่างกายเป็นสีม่วง

    8. การเจริญเติบโตช้าผิดปกติ

    9. น้ำหนักตัวลดลง

    ในแมว

    1.ความอยากอาหารลดลง

    2.ไม่ค่อยมีแรง

    3.น้ำหนักตัวลดลง

    4.หายใจลำบากหรืออ้าปากหายใจ

    5.อาเจียน

    6.ขาหลังเป็นอัมพาต

    เมื่อพามาพบสัตวแพทย์ ก็จะทำการตรวจวินิจฉัยเพื่อยืนยันว่าป่วยเป็นโรคหัวใจหรือไม่

    1.การตรวจร่างกายทั่วไป เช่น ดูจากลักษณะการหายใจ มีภาวะหายใจลำบาก อ้าปากหายใจ สีของเยื่อเมือก เพราะหากมีภาวะขาดออกซิเจนเยื่อเมือกก็จะซีดหรือกลายเป็นสีม่วง

    2.การฟังเสียงการเต้นของหัวใจ พบลักษณะการเต้นของหัวใจด้วยเสียงที่ผิดปกติ ซึ่งเรียกว่า " Murmur " บางครั้งพบว่าการเต้นของหัวใจอาจไม่เป็นจังหวะ เช่น เต้นไม่สม่ำเสมอ เต้นเร็ว/ช้ากว่าปกติ หรือ เสียงเบากว่าปกติ เป็นต้น

    3.การฟังเสียงของการหายใจ เช่น เสียงปอดที่มีลักษณะเสียงดังกว่าปกติ หรือเสียงเหมือนมีลักษณะน้ำคั่งหรือน้ำท่วมปอด เป็นต้น

    4.การตรวจลักษณะการเต้นของชีพจร ดูว่ามีความสัมพันธ์กับการเต้นของหัวใจหรือไม่ ซึ่งถ้าไม่สัมพันธ์กัน หรือชีพจรเบา/แรงกว่าปกติ แสดงถึงลักษณะความผิดปกติได้

    5.การเอ็กซเรย์ เป็นการช่วยดูว่าภายในช่องอกนั้นมีความผิดปกติที่ส่วนใดบ้าง เช่น หลอดลม ขนาดของหัวใจ และลักษณะเนื้อปอด เป็นต้น

    6.การตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG หรือ Electrocardiogram) เป็นการตรวจดูการนำไฟฟ้าภายในหัวใจ ว่ามีลักษณะการเต้นผิดจังหวะหรือไม่ หรือ ดูอัตราการเต้นว่าเร็ว/ช้ากว่าปกติ

    7.การอัลตร้าซาวน์หัวใจ (Echocardiography) เป็นการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงผ่านผนังช่องอก ซึ่งในปัจจุบันถือว่าเป็นการวินิจฉัยที่มีความสำคัญมาก เพราะสามารถบอกความผิดปกติด้านกายภาพของหัวใจได้อย่างแม่นยำและยังช่วย ประเมินความรุนแรงของความผิดปกติในด้านการทำงานของหัวใจได้อย่างดี เช่น การตรวจดูลักษณะของลิ้นหัวใจ การตีบของหลอดเลือดต่างๆที่หัวใจ การหนาตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ การขยายขนาดของห้องหัวใจ และประสิทธิภาพในการบีบและคลายตัวของหัวใจ เป็นต้น

    8.การตรวจอื่นๆ เช่น การตรวจเลือด การตรวจวัความดันเลือด การตรวจพยาธิหนอนหัวใจ เป็นต้น