''บิวเดอสมาร์ท'' เล็กพริกขี้หนู ในตลาดเอ็ม เอ ไอ

''บิวเดอสมาร์ท'' เล็กพริกขี้หนู ในตลาดเอ็ม เอ ไอ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
14 กุมภาพันธ์ 2551 ดีเดย์บริษัท บิวเดอสมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ BSMเข้าซื้อขายบนกระดานตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) ได้เงินจากการเพิ่มทุน 55 ล้านบาท นำไปต่อยอดธุรกิจด้วยการขยายสาขาใหม่ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ และให้บริการได้อย่างครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย

BSM ประกอบธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์ก่อสร้างตกแต่งภายในคุณภาพสูง สำหรับสำนักงานและที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร ทั้งผลิตภัณฑ์ที่เป็นแบรนด์ของตัวเอง เช่น ALLOY , BSM ,TIS และเป็นผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เป็นแบรนด์ชั้นนำอื่นๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ปีครึ่งที่BSM เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น นับว่ามีพัฒนาการต่อเนื่องในแง่ของการทำธุรกิจ เห็นได้จากวันที่ยื่นข้อมูลเสนอขายหลักทรัพย์ หรือไฟลิ่ง ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ในไฟลิ่งได้ระบุโครงการในอนาคตและแผนการใช้เงินเพิ่มทุนไว้ 3 โครงการ คือ 1.เปิดศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการเพิ่มเติม 2.งบลงทุนด้านการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ และ3. การขยายตลาดไปยังต่างประเทศนั้น ถือว่าได้เดินตามแผนที่วางไว้

สำหรับก้าวที่จะเดินต่อไป สัญชัย เนื่องสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ BSM ให้สัมภาษณ์ฐานเศรษฐกิจ ว่า ปี 2552 จะให้ความสำคัญกับการขยายตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น จากเดิมที่ฐานลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และภูเก็ต โดยปีที่ผ่านมา สาขาภูเก็ตสามารถสร้างยอดขายเป็นที่น่าพอใจ โดยมียอดขายที่ 40 ล้านบาท คิดเป็น 10% ของยอดขายรวมที่ 406 ล้านบาท

บริษัทจะใช้เม็ดเงินลงทุนประมาณ 2 ล้านบาท ในการขยายสาขาใหม่ใน 2 พื้นที่ ได้แก่ อำเภอสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สาเหตุที่ขยายสาขาเพิ่มในแหล่งท่องเที่ยว เนื่องจากมองว่าทุกวันนี้ชาวต่างชาติเข้ามาพักอาศัยและเปิดสำนักงานในพื้นที่ดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น โดยลูกค้ากลุ่มดังกล่าวมีกำลังซื้อสูง และบริษัทตั้งเป้ายอดขายจาก 2 สาขาใหม่ไว้ที่ 20 ล้านบาท

สำหรับการร่วมมือทางธุรกิจกับผู้นำด้านการผลิต และจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์สำนักงานชื่อดังอย่างบมจ.รอคเวิธ (ROCK) ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ถือเป็นผลดีในการขยายตลาดสู่ต่างประเทศ อาทิ ประเทศในทวีปยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลาง ซึ่งมีอัตราการขยายตัวของอาคาร และสำนักงานอย่างมาก

ประกอบกับลูกค้าเดิมในประเทศอินเดีย และเวียดนาม โดยเฉพาะตลาดอินเดียที่เป็นตลาดใหญ่ มีประชากรค่อนข้างมาก และประชาชนนิยมใช้สินค้าจากต่างประเทศ ซึ่งบริษัทมองว่า หากประสบความสำเร็จในการทำตลาดดังกล่าว ปริมาณการซื้อขายจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก

การร่วมมือกับROCKครั้งนี้ คาดว่าดันให้ยอดขายต่างประเทศของบริษัทอยู่ที่ 35 ล้านบาท รวมกับยอดขายในอินเดีย และเวียดนามที่ 30 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนที่ 15 ล้านบาท

ในส่วนของกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจปีนี้ ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงเล่าให้ฟังว่า จะโฟกัสเรื่องการผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ของตัวเองเพิ่มขึ้น เนื่องจากสามารถควบคุมต้นทุนได้ดีกว่า อีกทั้งให้อัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิน)สูง โดยสินค้าแบรนด์ตัวเองจะให้มาร์จินสูงถึง 30-35% ส่วนสินค้าที่บริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายให้มาร์จินประมาณ 12-15% โดยขณะนี้ สัดส่วนยอดขายสินค้าที่เป็นแบรนด์ตัวเองอยู่ที่ 30% ส่วนอีก 70% เป็นสินค้าที่บริษัทเป็นตัวแทนจำหน่าย และตั้งเป้าจะปรับสัดส่วนยอดขายเป็นแบรนด์ตัวเอง 60% และเป็นตัวแทนจำหน่ายแบรนด์อื่น 40%

ไม่เท่านั้น BSM ได้จัดตั้งบริษัทพัฒนาไม้แปรรูปทดแทนไม้เนื้อแข็ง โดยร่วมทุนกับบริษัท APL ประเทศนิวซีแลนด์ โดยจะถือหุ้นฝ่ายละ 50% ใช้เม็ดเงินลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท

ผลดีของการร่วมทุนครั้งนี้จะทำให้ลดต้นทุนในเรื่องของไม้ เนื่องจากนิวซีแลนด์มีการปลูกไม้เพื่อใช้ในธุรกิจ แตกต่างกับประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นการสานต่อแนวคิดของบริษัทในการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

สัญชัย ยังกล่าวต่อว่า ช่วงไตรมาส 3 นี้ บริษัทจะเริ่มผลิตโครงผนังฝ้า และฝ้าเพดานของตัวเอง โดยมีการลงทุนด้านวัตถุดิบ และเครื่องจักร รวมถึงการปรับปรุงพื้นที่ ใช้เงินลงทุน 20 ล้านบาท ซึ่งช่วงนี้ถือเป็นฤดูกาลจำหน่ายผลิตภัณฑ์ จากกรณีที่สำนักงานของบริษัทใหญ่ๆ เริ่มมีการปรับปรุงและขยายพื้นที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับความมั่นใจของผู้บริโภคเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ จึงเป็นผลดีต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท ซึ่งการร่วมทุนกับ APL และการผลิตโครงผนังฝ้า และเพดานจะช่วยให้บริษัทลดต้นทุนได้ประมาณ 10-15%

ด้านการบริหารหนี้สูญของ BSM จะเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น โดยปีก่อนมีหนี้สูญกว่า 6 ล้านบาท แต่ในทางกลับกัน ปีนี้ลดลงเหลือเพียง 2.7 ล้านบาท

มาถึงบทสุดท้ายของการสัมภาษณ์ ผู้บริหารหนุ่มBSM กล่าวว่า ปี 2552 บริษัทตั้งเป้าอัตราการเติบโตของยอดขายและกำไรสุทธิไว้ที่ 20% โดยยอดขายปีนี้จะอยู่ที่ 500 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนยอดขายในประเทศ 90% และ 10% เป็นยอดขายจากต่างประเทศ และขณะนี้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมเริ่มส่งสัญญาณเชิงบวก ประกอบกับความมั่นใจของผู้บริโภคเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และต้นทุนของสินค้าบางรายการที่ปรับลดลง

ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง และตกแต่งภายใน ครึ่งปีหลังจะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก แม้วิกฤติไข้หวัดใหญ่ 2009 และสถานการณ์ทางการเมืองจะส่งผลกระทบกับตลาดบ้าง แต่บริษัทจะพยายามรักษาเป้ายอดขาย และกำไรให้เป็นไปตามที่ประมาณการไว้ สัญชัย กล่าวทิ้งท้าย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook