มติปปช.เอกฉันท์รับคดีนายกฯปล่อยกู้30ล.ไว้สอบ

นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ได้แถลงภายหลัง การประชุมพิจารณาเกี่ยวกับการตรวจสอบการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของนายกรัฐมนตรี ในกรณีการปล่อยกู้เงินกว่า 30 ล้านบาท ให้กับบริษัท แอ็ด อินเด็กซ์ จำกัด ของ นายอนุสรณ์ อมรฉัตร สามีนอกสมรส เมื่อช่วงปี 2549-2550 ว่า ประเด็นนี้ เกิดจากการที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวตั้งข้อสงสัย ถึงความไม่ถูกต้องในการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2554 ซึ่งพบข้อสงสัยว่าเหตุใดมีข้อมูลไม่ตรงกับบัญชีงบดุลของบริษัทดังกล่าว ที่ไม่พบว่ามีการกู้ยืมเงินจากบุคคลภายนอก ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ของ ป.ป.ช. ได้มีการตรวจสอบพบว่า บริษัทดังกล่าวมีการกู้เงินจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 30 ล้านบาทจริง เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2549 - 13 มี.ค. 2550 ซึ่งรอบงบดุลของบริษัทในปี 2549 ได้กำหนดการสิ้นสุดงบดุลในวันที่ 30 เม.ย. ทำให้ไม่ปรากฏข้อมูลการยืมเงินจากบุคคลภายนอก ในปี 2549 แต่มาปรากฏงบดุลในปี 2550 แทน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบแล้วพบว่า ไม่มีพฤติการณ์ที่ส่อให้เห็นว่าได้มีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินที่เป็นเท็จ และทางคณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้ว จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ รับทราบและเก็บข้อมูลไว้ พิจารณาภายหลังที่นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งต่อไป นายกฯสบายใจปปช.ตัดสินคดีตามข้อเท็จจริงน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังทราบผลการพิจารณาของ ป.ป.ช. ที่ออกมาระบุว่า นายกรัฐมนตรี ไม่มีพฤติการณ์ว่า จงใจปกปิดรายการบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ โดยส่วนตัว รู้สึกสบายใจ ที่ผลการตัดสิน ออกมาตามข้อเท็จจริง ที่ได้ชี้แจงต่อ ป.ป.ช.ไปแล้ว ว่า ไม่มีเจตนาปกปิดบัญชีทรัพย์สินแต่อย่างใด ขณะที่ปฏิเสธกรณีดังกล่าวไม่เกี่ยวโยงกับการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ มองว่าเป็นการลงทุน นักลงทุนเองก็ต้องเลือกหุ้นที่มั่นคงและมีพื้นฐานดีเป็นหลัก โดย นายกรัฐมนตรี ไม่ตอบคำถามว่า หลังผ่านการพิจารณาคดีนี้ จะส่งผลให้เสถียรภาพรัฐบาลอยู่ยาวได้ครบวาระหรือไม่นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี เชื่อว่า สถานการณ์ระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ จะไม่เกิดความรุนแรง โดยได้กำชับไปยังกระทรวงการต่างประเทศ ฝ่ายความมั่นคง และ กระทรวงแรงงาน ดูแลคนไทยในประเทศเกาหลี ถ้าหากเกิดความรุนแรง ก็พร้อมเคลื่อนย้ายคนไทยได้ทันที แต่เชื่อว่าจะเจรจาเพื่อให้เกิดสันติภาพ