สถาปนิกดวงฤทธิ์ บุนนาค "โอกาสน่ะไม่มีหรอก มันอยู่ที่เราจะสร้างเองมากกว่า"

สถาปนิกดวงฤทธิ์ บุนนาค "โอกาสน่ะไม่มีหรอก มันอยู่ที่เราจะสร้างเองมากกว่า"

สถาปนิกดวงฤทธิ์ บุนนาค "โอกาสน่ะไม่มีหรอก มันอยู่ที่เราจะสร้างเองมากกว่า"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"โอกาสน่ะไม่มีหรอก มันอยู่ที่เราจะสร้างเองมากกว่า... โอกาสอยู่ที่งาน หากเขาสร้างงานที่ดีหนึ่งชิ้น โอกาสงานชิ้นที่สองจะตามมา...ทางที่ดีคือ ต้องสนใจกับงานของเรา ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ทุกชิ้นทำให้ดีที่สุด"

รายการ CEO VISION ทาง FM 96.5 เมื่อวันอังคารที่ 22 ม.ค.2556 ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ คุณดวงฤทธิ์ บุนนาค กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิกขั้นแทพที่ผันตัวเองมาเป็นนักบริหาร

โดยเปิดฉากบทสนทนาอย่างเฮฮาว่า เมื่อปี 2540 ถือเป็นช่วงเศรษฐกิจที่แย่ จึงมองว่าการสร้างบริษัทจากจุดที่อยู่ต่ำสุด ก็คงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้ ถ้าทุกอย่างดีขึ้นตามลำดับ บริษัทของตนเองก็จะดีขึ้นด้วย

เริ่มต้นจากการเป็นลูกจ้าง พอจะมาเปิดบริษัทของตนเอง โชคดีที่เจ้านายเก่าให้การสนับสนุนดีมาก ถือเป็นจังหวะในชีวิต ซึ่งเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีโอกาสประสบความสำเร็จได้ แต่บางครั้งอาจมีปัจจัยบางอย่างกั้นไว้ไม่ให้ทำ หรือไม่ให้ลงมาทำ จึงทำให้มาไม่ถึงเหมือนที่ตนเองก้าวมา คุณดวงฤทธิ์ถ่อมตัวว่า ตนเองไม่ได้มีความสามารถมาก ก็เป็นแค่คนธรรมดา เพียงแต่ตนเองไม่ใช่คนคิดมาก เมื่อถึงจังหวะที่จะทำ ก็ลงมือทำเท่านั้นเอง



ส่วนกรณีที่ช่วงนี้ได้ออกสื่อบ่อยๆ คุณดวงฤทธิ์ตอบด้วยเสียงหัวเราะว่า หลายคนอาจมองว่า เป็น แบรนดิ้ง แต่สำหรับตนเอง ใช้ว่า การปรากฏ เพราะจริงๆแล้วมนุษย์ทุกคนไม่มีอะไรที่จะทำได้หรือทำไม่ได้ หรือจริงไม่จริง มันอยู่ที่ว่าจะปรากฏอย่างไร ส่วนตัวกับการปรากฏให้ผู้อื่นได้เห็นว่า ตนเองเป็นสถาปนิก เป็นคนที่มีความสามารถ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถสร้างขึ้นได้ ไม่ใช่ว่าผมสร้างได้คนเดียว ทุกคนก็สามารถสร้างมุมมองแบบนี้มุมที่คนอื่นมีต่อตนเองได้เหมือนกัน



"โอกาสน่ะไม่มีหรอก มันอยู่ที่เราจะสร้างเองมากกว่า เหมือนกับว่าตอนที่เรารอให้ถูกหวยน่ะ ไม่รู้ชาตินี้เมื่อไหร่จะถูก แต่เราสร้างได้ ไม่ใช่สร้างให้ถูกหวยนะ แต่เป็นการ สร้างโอกาสให้ตัวเอง เช่นอาชีพสถาปนิกเนี่ยตรงไปตรงมาเลย เพราะโอกาสอยู่ที่งาน หากเขาสร้างงานที่ดีหนึ่งชิ้น โอกาสงานชิ้นที่สองจะตามมา ประเด็นคือ เราไม่ค่อยสนใจกับงาน เราไปสนใจเงินซะ ชีวิตก็จะเจอหายนะไป ทางที่ดีคือ ต้องสนใจกับงานของเรา ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ทุกชิ้นทำให้ดีที่สุด" สถาปนิกขั้นเทพพูดหนักแน่น



เมื่อถามว่า การสร้างสรรค์งานของสถาปนิกก็เป็นไปตามอารมณ์ศิลปินหรือไม่ คุณดวงฤทธิ์ตอบทันควันว่า สถาปนิกไม่ใช่ศิลปินนะ จริงๆแล้ว เป็นนักวิทยาศาสตร์ เพราะงานสถาปนิกจะมีส่วนผสมวิทยาศาสตร์กับศิลปะเท่าๆ กัน ไม่ได้ทำงานตามอารมณ์แล้วคิดงานออกมาฝันๆ สถาปนิกมีเหตุผลเสมอ และเป็นเหตุผลที่เข้มแข็ง ตอบได้ว่าจะทำอย่างไรให้สวยงาม สามามรถบอกความสวยเป็นวิทยาศาสตรได้



คุณดวงฤทธิ์ ยังบอกอีกว่า อาชีพที่เกี่ยวกับการสร้างสรรค์ คนส่วนใหญ่จะมีปฏิสัมพันธ์ว่าเป็นงานเพ้อฝัน ทั้งที่จริงแล้วมาจากหลักการวิธีคิดที่เข้มแข็ง ซึ่งคนที่ทำอาชีพนี้ต้องเป็นคนที่มีตรรกะในสมองที่เข้มแข็งมาก จึงจะสามารถมีความคิดที่สร้างสรรค์ได้ เป็นเรื่องของหลักการและแนวความคิดที่ชัดเจน การเป็นบริษัทสถาปนิกจึงต้องมีการวางแผนจัดการบริหารที่เข้มงวดมากกว่าบริษัททั่วไป



ถามว่า คุณดวงฤทธิ์ ถือว่าเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงเกินหรือไม่ ดวงฤทธิ์หัวเราะ ก่อนตอบว่า เป็นการมีวินัยมากกว่า ซึ่งความเชื่อมั่นในตัวเองก็ลำดับหนึ่ง แต่น่าจะเป็นการมีวินัยกับอาชีพ การทำงานที่ตรงไปตรงมา เที่ยงตรงกับมันสำคัญกว่า



ส่วนการเจรจากับลูกค้าเพื่อให้เชื่อมั่นกับงานที่นำเสนอ คุณดวงฤทธิ์บอกว่า ต้องพูดให้เชื่อ แต่ไม่ใช่การหลอก ต้องอธิบายให้ลูกค้าเห็นภาพชัดเจน อาชีพที่เกี่ยวกับการสร้างสรรค์นั้นต้องใช้ทักษะภาษาการสื่อสารเยอะมาก ทำให้ทุกคนจะพูดเก่ง เพราต้องพูดเพื่อให้ลูกค้าเห็นภาพชัดเจนก่อนที่งานจะถูกสร้างขึ้น



หากพูดถึงสถานะจากการเป็นลูกจ้าง มาเป็นเจ้าของกิจการแตกต่างกันอย่างไร คุณดวงฤทธิ์เผยว่า แตกต่างกันมาก เมื่อตอนเป็นลูกน้องก็ต้องมีวิธีบริหารเจ้านายอย่างหนึ่ง แต่เมื่อเป็นเจ้านายก็ต้องมีวิธีบริหารลูกน้องเช่นกัน ซึ่งการที่เคยเป็นลูกน้องมาก่อน ก็จะรู้ว่า แบบไหนที่เจ้านายทำแล้วไม่ดี เมื่อก้าวมาเป็นเจ้าของกิจการ ก็จะไม่ทำแบบนั้นที่ลูกน้องไม่ชอบ ตนเองให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการ และยืนยันว่าเป็นบริษัทสถาปนิกที่มีการบริหารจัดการที่เข้มงวดมากบริษัทหนึ่งทีเดียว



เราถูกฝึกให้ทำงานเป็นทีมตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งพวกที่ทำงานเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ ก็ต้องทำเป็นทีม ไม่ค่อยมีใครทำงานแบบปัจเจกบุคคลนะ เพราะจะทำงานลำบาก ฉะนั้นการทำงานเป็นทีมจึงไม่ยาก ผมสมมติตัวเองเป็นคอนดักเตอร์ ส่วนลูกน้องก็เหมือนนักดนตรี ก็แค่ควบคุมบริหารจัดการ



"ผมไม่ได้ทำงานเพื่อให้ผมก้าวไปคนเดียว แต่ผมทำเพื่อให้สังคมก้าวไปพร้อมๆ กัน อันนั้นคือจุดยืน ซึ่งนั่นอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความแตกต่าง วิธีการมอง ผมจะมองอนาคตตลอดเวลา ซึ่งทุกคนสามารถมองได้ เพียงแค่รู้จักปล่อยวาง เมื่อครั้งผมทำงานหนึ่งสำเร็จไปแล้ว ก็จะทิ้งไปเลย ได้งานชิ้นใหม่ก็จะไม่ทำเหมือนงานที่แล้ว เพราะถ้าเราปล่อยวางความสำเร็จได้ ก็จะมองเห็นอนาคต" คุณดวงฤทธิ์ พูดชัดถ้อยคำ



เมื่อย้ำถามว่า แสดงว่า ขณะนี้ เรียกได้ว่า คุณดวงฤทธิ์ เป็นผู้นำ คุณดวงฤทธิ์ รีบปฏิเสธว่า ตนเองไม่รู้ ก็เป็นตัวเอง และตั้งใจทำให้เป็นตัวเองไปเรื่อยๆ แต่ก็ยินดีหากจะมีคนสนใจเดินตาม ซึ่งเมื่อเดินตามได้สักระยะ ก็ควรจะไปเองต่อ เพราะถ้าเดินตามไปเรื่อยๆ น่าจะไม่เวิร์คแล้ว ซึ่งการทำงานจริงๆ ต้องลดตัวเอง และใส่คนอื่นให้มากขึ้น ต้องใช้จิตวิทยาในการบริหารบริษัทสถาปนิก



คำถามทิ้งท้ายว่า ณ ปัจจุบันนี้ คิดว่าตัวเองประสบความเร็จหรือยัง คุณดวงฤทธิ์หัวเราะก่อนตอบว่า ตนเองนั้นประสบความสำเร็จทุกวันอยู่แล้ว ส่วนตัวมองว่าความสำเร็จมันง่าย เพราะได้ตั้งเป้าวันต่อวัน เมื่องานแต่ละชั้นสำเร็จก็คือความสำเร็จในวันนั้นๆ นอกจากนี้ ยังมองว่า การก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะถือเป็นโอกาสที่ดีเยี่ยม จะเกิดการลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นมหาศาล ซึ่งอาชีพสถาปนิกก็จะเกิดโครงการต่างๆ มากมาย จะเกิดความร่วมมือรำหว่างสถาปนิกที่เข้ามาทำงานในไทย ต้องมาร่วมกับสถาปนิกไทยเพราะมีข้อตกลงว่า สถาปนิกที่ทำงานในอาเซียนต้องทำงานร่วมกับสถาปนิกท้องถิ่นเสมอ ฉะนั้นทุกคนได้ประโยชน์ทั้งหมด สำหรับสถาปนิกถือเป็นโอกาสทอง ที่จะขยายตัว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook