สรุปภาวะตลาดทุนรายสัปดาห์
“เงินบาทอ่อนค่าลงขณะที่ดัชนีหุ้นไทยลดช่วงบวกลงท้ายสัปดาห์”โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัดตลาดเงินและตลาดอัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นยังค่อนข้างคงที่ โดยมีการตัดจ่ายเงินภาษีมูลค่าเพิ่มรายเดือนผ่านระบบธนาคารในช่วงต้นสัปดาห์ นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์มีการปิดสำรองสภาพคล่องรายปักษ์ในวันอังคารและเข้าสู่ปักษ์ใหม่ในวันพุธ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยอินเตอร์แบงก์ประเภทกู้ยืมข้ามคืน (Overnight) หนาแน่นที่ระดับ 1.15% ตลอดทั้งสัปดาห์เช่นเดียวกับสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่อัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ยที่ประมูลได้ของธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรแบบทวิภาคี (Bilateral Repo) ระยะ 1, 7 และ 14 วัน เคลื่อนไหวใกล้ระดับ 1.25% ทางด้านคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่กรอบเดิมในการประชุมรอบสุดท้ายของปีในวันที่ 15-16 ธันวาคม 2552 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย ประเภทอายุ 5 ปี (TH5YY) ปิดที่ระดับ 3.57% ในวันศุกร์ ขยับขึ้นจาก 3.54% เมื่อวันศุกร์ก่อนหน้า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับขึ้นลงในกรอบแคบ ท่ามกลางภาวะการซื้อขายที่เงียบเหงา ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะต่ำกว่า 15 ปี บางประเภท ปรับลดลง ส่วนหนึ่งได้รับจากอิทธิพลของตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ในช่วงปลายสัปดาห์ ด้านตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯนั้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ประเภทอายุ 10 ปี (US10YY) ปิดที่ระดับ 3.48% ในวันพฤหัสบดี ปรับลดลงจาก 3.55% ในวันศุกร์ที่แล้ว โดยตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันพุธ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ขยับขึ้น หลังจากที่ตลาดตอบรับข่าวดีเกี่ยวกับการที่อาบูดาบีตกลงให้เงินช่วยเหลือจำนวน 1 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ แก่ดูไบเพื่อแก้ปัญหาภาระหนี้สิน ทำให้นักลงทุนปรับพอร์ตการลงทุนไปยังสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ขณะที่แถลงการณ์หลังการประชุมสะท้อนว่าเฟดมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ขยับลงในวันพฤหัสบดี ตามการปรับลดลงของดัชนีตลาดหุ้นนิวยอร์ก รวมทั้งจากการรายงานยอดขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ที่ปรับสูงขึ้นเกินคาด เงินบาทในประเทศ (Onshore) ปรับตัวอ่อนค่าลง ทั้งนี้ เงินบาทได้รับแรงหนุนเพียงเล็กน้อยจากแรงขายเงินดอลลาร์ฯ ของผู้ส่งออก และทิศทางการแข็งค่าของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคหลังมีรายงานข่าวระบุว่า อาบู ดาบี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ให้เงินช่วยเหลือแก่ดูไบ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ สำหรับการชำระหนี้หุ้นกู้อิสลามของนาคีล (บริษัทหนึ่งในเครือดูไบ เวิลด์) วงเงิน 4.1 พันล้านดอลลาร์ฯ ที่ครบกำหนดไถ่ถอนในช่วงต้นสัปดาห์ แต่กระนั้นก็ดี เงินบาทได้ลดช่วงบวกทั้งหมดลง และปรับตัวอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องจนถึงช่วงปลายสัปดาห์ โดยถูกกดดันจากความแข็งแกร่งของเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งได้รับแรงหนุนสำคัญจากมุมมองในเชิงบวกของเฟดต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ ก่อนสิ้นปีของนักลงทุน นอกจากนี้ ความต้องการเงินดอลลาร์ฯ จากฝั่งผู้นำเข้าก่อนช่วงสิ้นเดือน และทิศทางการอ่อนค่าของสกุลเงินเอเชียอื่นๆ ก็เป็นปัจจัยลบต่อค่าเงินบาทด้วยเช่นกัน สำหรับในวันศุกร์(18ธ.ค.) เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับ 33.21 (ตลาดเอเชีย) เทียบกับระดับ 33.11 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (11 ธันวาคม) ในสัปดาห์นี้ (21-25 ธันวาคม 2552) ธนาคารพาณิชย์คงจะมีการทยอยเตรียมสภาพคล่องเพื่อรองรับการเบิกถอนเงินสดของลูกค้าในช่วงเทศกาลคริสต์มาสต่อเนื่องถึงปีใหม่ รวมถึงการปิดงบบัญชีงวดสิ้นปี ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นน่าจะยังทรงตัวใกล้ระดับ 1.25% อย่างต่อเนื่องส่วนเงินบาทในประเทศอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 33.15-33.35 บาทต่อดอลลาร์ฯ ทั้งนี้ ปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่ ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนพ.ย.ของกระทรวงพาณิชย์ ทิศทางของสกุลเงิน/ตลาดหุ้นในภูมิภาค และสัญญาณการเข้าดูแลเสถียรภาพค่าเงินของธปท. ขณะที่ ทิศทางของเงินดอลลาร์ฯ อาจขึ้นอยู่กับการปรับโพสิชั่นของนักลงทุนก่อนสิ้นปี และการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ จัดทำโดยรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกน (ขั้นสุดท้าย) เดือนธ.ค. ยอดขายบ้านมือสอง ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ข้อมูลรายได้/การบริโภคส่วนบุคคล และดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน เดือนพ.ย. รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และรายงาน GDP ประจำไตรมาส 3/2552 (รอบสุดท้าย) ทั้งนี้ ตลาดการเงินสหรัฐฯ จะปิดทำการในวันศุกร์ที่ 25 ธ.ค. 2552 เนื่องในวันคริสต์มาสการเคลื่อนไหวของเงินเยนและเงินยูโรในสัปดาห์ที่ผ่านมาเงินเยนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ เงินเยนขยับแข็งค่าขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ โดยได้รับปัจจัยบวกจากแรงขายเงินดอลลาร์ฯ ของผู้ส่งออกและนักลงทุนญี่ปุ่นก่อนสิ้นปี อย่างไรก็ตาม เงินเยนต้องลดช่วงบวกทั้งหมด และปรับตัวอ่อนค่าลงในช่วงต่อมา โดยถูกกดดันจากความอ่อนแอของปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐฯ ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ ของนักลงทุนเพื่อปรับโพสิชั่นก่อนสิ้นปี นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังมีแรงหนุนจากมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการยืนยันแผนการถอนมาตรการด้านสภาพคล่อง (ในวันที่ 1 ก.พ. 2553) ในแถลงการณ์หลังการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 15-16 ธ.ค. 2552 อีกด้วย สำหรับในวันศุกร์ เงินเยนอ่อนค่าต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 90.24 (ตลาดยุโรป) เทียบกับระดับ 89.05 เยนต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (11 ธันวาคม) โดยเงินเยนเผชิญแรงขายหลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่นระบุภายหลังการประชุมนโยบายการเงินว่า จะไม่ผ่อนปรนต่ออัตราเงินเฟ้อที่เท่ากับหรือต่ำกว่าศูนย์ เงินยูโรอ่อนค่าแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 เดือนเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ เงินยูโรปรับตัวแข็งค่าขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ หลังข่าวอาบู ดาบีให้เงินช่วยเหลือแก่ดูไบมูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ (เพื่อชำระค่าไถ่ถอนหุ้นกู้อิสลามวงเงิน 4.1 พันล้านดอลลาร์ฯ ของบริษัทนาคีล และสนับสนุนการดำเนินงานของดูไบ เวิลด์) ได้หนุนความต้องการเสี่ยงของนักลงทุนให้ฟื้นตัวขึ้นมาบางส่วน อย่างไรก็ตาม เงินยูโรต้องเผชิญแรงขายอย่างหนักในช่วงต่อมา โดยถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับความอ่อนแอของธนาคารบางแห่งในยูโรโซน และรายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจเดือนธ.ค.ของสถาบัน ZEW ของเยอรมนีที่ร่วงลงมากเกินคาด ตลอดจนความวิตกครั้งใหม่เกี่ยวกับฐานะการคลังที่อ่อนแอของกรีซ หลังจากที่ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของกรีซลงสู่ “BBB+” จาก “A-“ ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ ของนักลงทุนก่อนสิ้นปี และจากมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในแถลงการณ์หลังการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 15-16 ธ.ค.ที่ผ่านมา สำหรับในวันศุกร์ เงินยูโรฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยมายืนที่ระดับประมาณ 1.4391 (ตลาดยุโรป) เทียบกับระดับระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 เดือนที่ 1.4302 ดอลลาร์ฯ ต่อยูโร ที่ทำไว้ระหว่างสัปดาห์ และระดับ 1.4621 ดอลลาร์ฯ ต่อยูโร ในวันศุกร์ก่อนหน้า (11 ธันวาคม) ภาวะตลาดทุน ตลาดหุ้นไทย “ดัชนี SET ลดช่วงบวกลงท้ายสัปดาห์” ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 715.68 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.71% จาก 703.64 จุดในสัปดาห์ก่อน และพุ่งขึ้น 59.05% จากสิ้นปี 2551 ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์เพิ่มขึ้น 57.60% จาก 46,730.23 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อนหน้า มาอยู่ที่ 73,647.80 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ลดลงจาก 15,576.74 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 14,729.56 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบันและบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิที่ 3,014.22 ล้านบาท และ 1,093.52 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 2,589.85 ล้านบาท และ 1,517.88 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 214.06 จุด ขยับลง 0.03% จาก 214.12 จุดในสัปดาห์ก่อน แต่พุ่งขึ้น 31.38% จากสิ้นปีก่อน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบ ตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค ดัชนีหุ้นไทยปิดปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 2 สัปดาห์ในวันจันทร์ โดยได้รับปัจจัยบวกจากข่าวที่ดูไบได้รับเงินช่วยเหลือจากอาบู ดาบี ซึ่งช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุน รวมถึงยังมีเม็ดเงินจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เข้ามาช่วยหนุนการลงทุนด้วย จากนั้น ดัชนีปิดลดลงเล็กน้อยในวันอังคาร ตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาคที่อ่อนตัวลง แม้จะมีแรงซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงานเข้ามาช่วยพยุงตลาดก็ตาม ส่วนในวันพุธ ดัชนีปิดปรับตัวขึ้นอีก โดยแรงซื้อที่มีเข้ามาอย่างโดดเด่นในหุ้นกลุ่มพลังงาน ธนาคาร และเกษตร ช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนและทำให้ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากการที่คณะรัฐมนตรีต่ออายุบางมาตรการบรรเทาค่าครองชีพให้แก่ผู้มีรายได้น้อยต่อไปอีก 3 เดือน อย่างไรก็ตาม ดัชนีปิดลบเล็กน้อยในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ หลังเคลื่อนไหวในกรอบแคบตลอดทั้งวัน ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ปรับตัวลง สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์นี้ (21-25 ธ.ค. 52) บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีอาจยังคงได้รับแรงหนุนจากเงินลงทุนที่ระดมได้ผ่าน LTF และ RMF รวมทั้งจากการทำราคาปิดสิ้นงวดบัญชี (Window Dressing) ในช่วงปลายปี โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ การรายงานตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของไทยโดยกระทรวงพาณิชย์ การประชุมของกลุ่มโอเปกในวันที่ 22 ธ.ค. การเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ฯ และการปรับตัวของตลาดหุ้นภูมิภาค ตลอดจนการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ อาทิ ตัวเลขจีดีพี (ทบทวนครั้งสุดท้าย) ประจำไตรมาส 3/2552 ในวันอังคาร และยอดขายบ้านใหม่ (New Home Sales) ในวันพุธ ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 695 และ 680 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 719 และ 750 จุด ตามลำดับ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ “ดัชนี DJIA ปรับตัวลง จากระดับปิดสูงสุดในรอบ 14 เดือน”เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2552 ดัชนี DJIA ปิดที่ 10,308.26 จุด ปรับตัวลดลง 1.56% เมื่อเทียบกับ 10,471.50 จุด เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน แต่พุ่งขึ้น 17.45% จากสิ้นปี 2551 ขณะที่ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 2,180.05 จุด ขยับลง 0.47% เมื่อเทียบกับ 2,190.31 จุด ปลายสัปดาห์ก่อน แต่พุ่งขึ้น 38.24% จากสิ้นปีก่อนหน้า ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือนในวันจันทร์ โดยได้รับแรงหนุนจากข่าวการอัดฉีดเงิน 1 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ของอาบูดาบีเพื่อช่วยดูไบให้สามารถหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งได้ช่วยคลายความวิตกในตลาด ขณะที่ข้อตกลงเทคโอเวอร์ของบริษัทเอ็กซอนโมบิล คอร์ป ได้เพิ่มความเชื่อมั่นเกี่ยวกับกิจกรรมการควบรวมกิจการ อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดลดลงในวันอังคาร โดยดัชนี DJIA และดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงจากระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือน จากความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และการเปิดเผยรายงานแนวโน้มธุรกิจที่ทรงตัวในปี 2553 ของบริษัทเจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) ส่วนในวันพุธ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกเล็กน้อย หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กล่าวย้ำถึงความตั้งใจที่จะตรึงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำต่อไปในอนาคตอันใกล้เพื่อทำให้แน่ใจว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้นอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดลดลงอีกในวันพฤหัสบดี โดยการดีดตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ฯ ลดความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงของนักลงทุน ขณะที่แนวโน้มผลกำไรที่อ่อนแอจากบริษัทเฟดเอ็กซ์ถ่วงหุ้นกลุ่มการขนส่ง ตลาดหุ้นญี่ปุ่น “ดัชนี NIKKEI ลดช่วงบวกลง หลังแตะระดับปิดสูงสุดในรอบ 7 สัปดาห์”เมื่อวันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2552 ดัชนี NIKKEI ปิดที่ 10,142.05 จุด ขยับขึ้น 0.34% จากปิดตลาดที่ 10,107.87 จุด เมื่อสัปดาห์ก่อน และพุ่งขึ้น 14.48% จากสิ้นปีที่ผ่านมา โดยดัชนี NIKKEI ลดช่วงติดลบลงและปิดตลาดทรงตัวในวันจันทร์ หลังดูไบได้รับเงินช่วยเหลือ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ จากอาบู ดาบี ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก ส่วนในวันอังคาร ดัชนี NIKKEI ปิดปรับตัวลง โดยหุ้นกลุ่มส่งออกร่วงลงจากการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของเงินเยน ขณะที่นักลงทุนระมัดระวังก่อนการประชุมเฟด อย่างไรก็ตาม ดัชนี NIKKEI ปรับตัวขึ้นแตะระดับปิดสูงสุดในรอบ 7 สัปดาห์ในวันพุธ โดยหุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้น หลังมีรายงานว่าหน่วยงานกำกับดูแลด้านการธนาคารระดับโลกได้เห็นพ้องกันในการกำหนดกรอบการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบใหม่ด้านเงินทุน โดยใช้เวลาอย่างน้อยที่สุด 10 ปี ซึ่งจะส่งผลให้มีการชะลอการดำเนินการดังกล่าวออกไป แต่ดัชนี NIKKEI ปรับตัวลดลงเล็กน้อยในวันถัดมา จากแรงขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังจากที่ทะยานขึ้นในช่วงก่อนหน้า ดัชนี NIKKEI ปิดปรับตัวลงต่อในวันศุกร์ นำโดยแรงถ่วงจากหุ้นกลุ่มโลหะ หลังราคาทองได้รับผลกระทบอย่างหนักจากความแข็งแกร่งของเงินดอลลาร์ฯ