พระมหากษัตริย์นักออมเงิน

พระมหากษัตริย์นักออมเงิน

พระมหากษัตริย์นักออมเงิน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เชื่อว่าหลายคนตอบว่า “รักพระองค์ท่านมาก”

แล้วพวกเรารักพระองค์ท่านกันแบบไหน?

“เราแสดงความรักด้วยการพูด การแชร์หน้า Facebook หรือการลงมือทำ”

บทความนี้อภินิหารเงินออมเขียนออกมาจากใจของประชาชนคนไทยคนหนึ่งที่ต้องการให้คนทั่วไป หันมาให้ความสำคัญเรื่องการรักษาและรู้จักวิธีจัดการเงินในกระเป๋ามากขึ้น แม้เพียงหยิบมือหนึ่งก็ยังดี โดยนำแนวคิดและวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารการเงินของพระองค์ท่านเป็นแบบอย่างเพื่อให้ผู้อ่านได้นำไปปฏิบัติตาม (หากมีคำราชาศัพท์คำใดใช้ไม่ถูกต้อง ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย รบกวนเมล์มาแจ้งให้ทราบแล้ว เราจะแก้ไขทันทีค่ะ)


เรารวบรวมข้อมูลจากค้นคว้าหนังสือที่หอสมุดแห่งชาติ รวมทั้งข้อมูลในเว็บไซด์ต่างๆเพื่อเขียนเป็นบทความ “พระมหากษัตริย์นักออมเงิน” โดยเริ่มเรื่องที่พระจริยวัตรของพระรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 9 แล้วสรุปเป็นแนวคิดการเงินในส่วนท้าย


5 เรื่องของพระมหากษัตริย์นักออมเงิน

เรื่องที่ 1 สมเด็จย่าทรงสอนวิธีจัดการเงิน

เรื่องเงินเป็นเรื่องที่ต้องสอนและได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งสมเด็จย่ามีวิธีการสอนอย่างไร เพื่อให้เป็นพระมหากษัตริย์นักออมเงิน ข้อมูลนี้เราไปอ่านเจอในหนังสือแล้วพิมพ์คัดลอกออกมา ชื่อหนังสือ“สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีกับการพัฒนาคุณภาพประชากร” สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ทรงพระกรุณาประทานพระดำรัช

ข้อความในหนังสือ

แนวคิดการเงิน

วิธีการสอนของสมเด็จย่าเพื่อสร้างพระมหากษัตริย์นักออมเงินนั้น เป็นวิธีที่แต่ละครอบครัวควรน้อมนำไปปฏิบัติตามอย่างยิ่ง เพราะเป็นแนวทางที่เราเห็นแล้วว่าเป็นประโยชน์และทำได้จริง แนวคิดที่เราได้จากเรื่องนี้ คือ

๐เรื่องการให้เงินรายเดือนหรือรายสัปดาห์

“ในหลวงได้เงินค่าขนมสัปดาห์ละครั้ง”


วิธีการให้เงินนั้นสำคัญ บางครอบครัวเด็กโตแล้วยังให้เงินเป็นรายวัน ทำให้เด็กไม่รู้จักวิธีแบ่งเงินไว้ใช้เพราะรู้ว่าพรุ่งก็ได้เงิน ไม่ต้องรอนาน หากเปลี่ยนวิธีการให้เงินเป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือน เด็กจะรู้ว่าตนเองควรมีวิธีใช้เงินอย่างไร เพื่อให้มีเงินเหลือหรือเพียงพอใช้ก่อนที่จะได้รับเงินรอบใหม่

๐เรื่องการเก็บเงินสะสมซื้อของเล่นเอง

“ซื้อหนังสือหรือของเล่นซึ่งของพวกนี้ต้องซื้อเอง

เพราะของเล่นนั้นส่วนมากแล้วแม่จะไม่ได้ซื้อให้”


เด็กกับของเล่นนั้นเป็นของคู่กัน เวลาเด็กอยากได้อะไรก็ร้องบอกให้ผู้ปกครองซื้อให้จนบางครั้งทำให้เด็กเสียนิสัย ติดวิธีการได้ของเล่นมาง่ายๆ แล้วก็ทิ้งไปง่ายๆเช่นกัน เมื่อสมเด็จย่าไม่ซื้อของเล่นให้พระองค์ก็ต้องสะสมเงินซื้อเองหรือประดิษฐ์ของเล่นเองจากสิ่งของที่มีอยู่รอบตัว ทำให้มีความคิดต่อยอดออกไปเรื่อยๆ จึงกระทั่งกลายเป็น “กษัตริย์นักประดิษฐ์” อีกด้วย

๐เรื่องการให้ของขวัญในวันพิเศษ

“ในวันปีใหม่และวันเกิด จะได้ของเล่นที่สำคัญและใหญ่โต เราอยากได้อะไรก็ขอไป บอกว่าอยากได้ของเล่นพวกนี้ ท่านก็บอกว่าถึงวันเกิดจะซื้อให้ จะไม่ซื้อพร่ำเพรื่อ”


การให้ของขวัญพิเศษไม่ควรให้พร่ำเพรื่อ เพื่อฝึกความอดทน ให้เด็กเกิดการรอคอยและเห็นคุณค่าของขวัญที่ได้รับ ดังนั้น ควรเลือกให้ของขวัญในวันพิเศษจริงๆ เท่านั้น อาจจะเป็นช่วงปีใหม่และวันเกิดก็ได้ ไม่ควรตามใจเด็กโดยการซื้อของขวัญให้บ่อยมากเกินไปจนเหมือนทุกวันเป็นวันพิเศษ

๐สอนให้ฝากเงินในธนาคาร

“ท่านก็สอนให้เอาเงินไปฝากธนาคาร เมื่อมีจำนวนพอแล้ว”


เมื่อเก็บเงินได้ส่วนหนึ่งแล้วก็ต้องนำไปหาที่เก็บรักษาเงินเพื่อให้เงินเติบโต เพื่อฝึกให้เด็กทำเป็นนิสัย ซึ่งสมัยก่อนอาจจะเป็นการฝากเงินในธนาคาร แต่ปัจจุบันแตกต่างกับสมัยก่อนมากเพราะมีสินทรัพย์ทางการเงินเกิดขึ้นมากมายให้เลือกลงทุน

เมื่อเด็กเติบโตจนกระทั่งเรียนเรื่องการคำนวณเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยได้แล้ว ควรทำให้เด็กรู้ว่าที่กำลังเรียนอยู่นี้ใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงๆ ไม่ใช่เรียนเพื่อสอบแล้วก็ลืมไปเท่านั้น เราอาจจะนำตัวเลขในสมุดบัญชีธนาคารแบบออมทรัพย์หรือฝากประจำ แล้วก็สอนการคำนวณจากตัวอย่างจริง เพื่อให้รู้ว่าการเงินเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวเรา

เรื่องที่ 2 ในหลวงทรงเก็บออมเพื่อซื้อของใช้ส่วนพระองค์

แนวคิดการเงิน

ของใช้ส่วนพระองค์หลายชิ้น เช่น เครื่องดนตรี กล้องถ่ายรูป จักรยาน ของเล่น ในหลวงทรงซื้อจากเงินออมที่เหลือจากเงินค่าขนม หากได้รับเงินในโอกาสพิเศษจากสมเด็จพระพันวัสสาฯ พระองค์ก็ทรงเก็บสะสมไว้ สิ่งของบางชิ้นสมเด็จย่าก็ทรงช่วยโดยการสมทบเงินออมเพิ่ม เพื่อจะได้ซื้อของที่อยากได้เร็วขึ้น

เราสามารถนำวิธีนี้มาประยุกต์ใช้กับตัวเราได้ คือ ซื้อของเมื่อเงินเราพร้อม เพื่อป้องกันตนเองจากสิ่งของฟุ่มเฟือยและหนี้สินพะรุงพะรัง สิ่งของบางอย่างที่เราอยากได้ ถ้าตัดสินใจด้วยอารมณ์ชั่ววูบรูดบัตรเครดิต 0% ทันทีก็ได้ของนั้นมาครอบครอง มันเป็นตัวที่เร่งการจับจ่ายให้มากเกินความจำเป็น เราอาจจะเห่อของนั้นเพียงชั่วคราว เมื่อของใหม่ออกมาก็เปลี่ยนใหม่

การเก็บสะสมเงินนั้นเป็นกลยุทธ์ที่ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว คือ

รู้จักกระเป๋าตนเองว่าของสิ่งนี้จำเป็นที่จะต้องซื้อแล้วหรือยัง (การเรียงลำดับความสำคัญ)
ไม่ต้องมานั่งเสียดอกเบี้ยจากการกู้ยืม (กรณีผ่อนบัตรเครดิตแล้วไม่มีเงินไปชำระหนี้)
ช่วงเวลาสะสมเงินมีเวลาตัดสินใจว่า เราต้องการของสิ่งนั้นจริงๆหรือไม่ ไม่ใช่การซื้อเพราะอารมณ์
เราอาจจะได้ของชิ้นใหม่ที่ดีและถูกกว่าเดิม เพราะแต่ละบริษัทก็ต้องผลิตแข่งกัน ช่วงเวลาสะสมเงินเราจะมีเวลาหาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อมากขึ้น

คำถาม : เวลาที่เราอยากได้ของเล่นใช้วิธีการอะไร สะสมเงินเอง ช่วยกันออมคนละครึ่งหรือร้องขอให้พ่อแม่ซื้อ?

เรื่องที่ 3 การสร้างรายได้และการให้

แนวคิดการเงิน

เราสามารถนำเรื่องราวนี้มาประยุกต์ใช้กับตนเองได้ในเรื่องของการสร้างรายได้โดยเริ่มจากสิ่งเล็กๆก่อน เมื่อทำจนประสบความสำเร็จแล้วมีกำไรก็ค่อยๆขยายให้เติบโตมากขึ้น ขณะนี้โลกออนไลน์เป็นช่องทางการสร้างรายได้ที่กว้างมากและต้นทุนต่ำมากด้วย

เคล็ดลับส่วนตัวที่เราสร้างรายได้จากโลกออนไลน์ คือ สร้างงานจากสิ่งที่ตัวเองรัก ความเชื่อ ความศรัทธาและที่สำคัญต้องเป็นตัวของตัวเอง ถ้าเรามีเป้าหมายชัดเจนว่าจะทำอะไร เดี๋ยววิธีการมันก็จะตามมาเอง “คอร์สสัมมนาหรือหนังสือสอนรวย” ช่วยเราได้เพียงแนวความคิดเท่านั้น สุดท้ายก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจะนำมาประยุกต์ใช้ประโยชน์ได้อย่างไร

การบริจาคหรือการให้นั้น เป็นการช่วยเหลือ แบ่งปันผู้อื่นเพื่อเป็นประโยชน์ให้สังคมและตัวของผู้ให้เองด้วยทำให้เราลดความเห็นแก่ตัว ลดความอยากได้ ลดความโลภ เมื่อเราบริจาคแล้วจะทำให้อิ่มใจ เห็นรอยยิ้มของผู้รับแล้วมีความสุข ได้รับความนับถือและทำให้เรามีเงิน มีโอกาสดีๆเข้ามาในขีวิต

เรื่องการให้นั้นก็มีความสำคัญ ในสังคมจะมีแต่ผู้รับอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องมีผู้ให้ด้วย เพราะคนเราไม่ได้อยู่ตามลำพัง เราให้ตามกำลังทรัพย์ที่มีและไม่จำเป็นต้องใช้เงินเสมอไป มันเป็นเรื่องง่ายๆที่เริ่มทำได้ เช่น ลุกให้คนแก่ คนท้องนั่ง ชะลอรถให้คนข้ามถนน อ่านหนังสือเสียงให้คนตาบอด ฯลฯ


เรายิ่งให้ ยิ่งได้ ยิ่งมีความสุขนะจ๊ะ

เรื่องที่ 4 การประหยัด

ที่มา http://www.oknation.net/blog/chai/2007/11/08/entry-1

ที่มา http://www.vcharkarn.com/varticle/39675

พื้นด้านล่างฉลองพระบาท ‘ในหลวง’ ที่ทรงโปรดให้ซ่อมแล้วซ่อมอีก

ที่มา http://www.oknation.net/blog/babymind/2007/11/29/entry-3

แนวคิดการเงิน

เรื่องราวเหล่านี้ที่พระองค์ทรงปฎิบัตินั้นทำให้เรารู้ว่าการประหยัดเป็นวิธีการที่เราเริ่มทำได้ทันที โดยการใช้ของที่มีให้หมด ใช้ให้คุ้มค่าที่สุด ถ้าเราจะนำไปปรับใช้ เช่น

เราใส่เสื้อผ้าคุ้มค่ารึยัง ลองรื้อตู้เสื้อผ้ามาดูว่ามีชิ้นไหนที่ใส่ได้บ้างก็นำมาดัดแปลงเป็นของใหม่ หากชุดไหนใส่ไม่ได้ก็บริจาค
เครื่องบำรุงผิว หลายท่านซื้อเพราะโปรโมชั่นแรงกระแทกใจ ซื้อ 2 แถม 1 รีบจัดไปอย่างให้เสีย แต่รู้ไหมว่าอาจจะกลายเป็นขยะในบ้าน ใช้ไม่ทันเพราะหมดอายุไปก่อน ทางที่ดีเราควรซื้อทีละอย่าง พอหมดแล้วค่อยซื้อใหม่ โปรโมชั่นนี้ซื้อไม่ทันก็รอรอบหน้าที่อาจจะลดราคายิ่งกว่าเดิมก็ได้


หลายครั้งที่เราใช้จ่ายซื้อสิ่งของบางอย่างที่ไม่จำเป็น แล้วก็อยากซื้อเพื่อจะได้เหมือนคนอื่น แต่อย่าลืมว่าถ้าเราเลือกคบเพื่อนจากสิ่งของ ในวันที่สิ่งของเปลี่ยนไปเพื่อนจะยังอยู่กับเราหรือไม่ ลองมองอีกด้านหนึ่งว่าถ้าเราคบกันเพราะนิสัยหรือคุณค่าจากความคิดของเรา ความเป็นเพื่อนจะอยู่ยืนนานกว่า เพราะ “เปลือกไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่อยู่ในเปลือก” #พี่ชายที่เคารพท่านหนึ่งกล่าวไว้

เรื่องที่ 5 เงินค่าไถ่บ้านเมืองของรัชกาลที่ 3

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ทรงทำการค้ากับต่างประเทศรุ่งเรืองมากๆ โดยนำผลกำไรที่ได้มาใส่ “ถุงแดง” แยกเป็นถุง ถุงละ 10 ชั่ง ตีตราปิดปากถุง เก็บไว้ในหีบกำปั่นข้างห้องพระบรรทม ทรงเก็บไว้เพื่อสร้างและทะนุบำรุงวัดวาอารามต่างๆ ทั้งในพระนครและภายนอก รวมทั้งทรงยกให้แผ่นดินเก็บรักษาไว้ใช้ในยามจำเป็น ซึ่งมีจำนวนมากถึงสามหมื่นชั่ง (2,4๐๐,๐๐๐ บาท) เป็นเหรียญทองรูปนกของเม็กซิกัน เพราะในขณะนั้นใช้เป็นเงินตราต่างประเทศที่ซื้อขายสินค้าในเมืองไทย

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสมัยรัชกาลที่ 5 ขณะนั้นฝรั่งเศสเป็นมหาอำนาจและต้องการจะยึดครองไทยเป็นอาณานิคมเหมือนที่ยึดครองดินแดนประเทศต่างๆ ในอินโดจีนไว้หมดแล้ว จนกระทั่งปี พ.ศ. 2436 หรือที่เรารู้จักกันว่าวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 กรุงเทพฯถูกยึดครองด้วยกองเรือรบติดอาวุธของฝรั่งเศส

ข้อเรียกร้องของฝรั่งเศส (บางส่วน)

ให้มอบผืนแผ่นดินของเมืองประเทศราชบนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง (คือ ลาว เขมร) เป็นของฝรั่งเศส
เงินค่าไถ่เป็นค่าปรับไหมที่ฝ่ายไทยถูกกล่าวหาว่าก่อขึ้นก่อนโดยการเปิดฉากยิงเรือฝรั่งเศส คิดเป็นเงินสดจำนวนทั้งสิ้นรวม 5,๐๐๐,๐๐๐ ฟรังก์ แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ
         ๐ ค่าเสียหายนี้ให้จ่ายเป็นเงิน 2,๐๐๐,๐๐๐ ฟรังก์เป็นค่าปรับไหมในความเสียหายต่างๆ ที่เกิดขึ้นแก่ชนชาติฝรั่งเศส
         ๐ จ่ายเงินอีก 3,๐๐๐,๐๐๐ ฟรังก์ โดยให้ชำระเป็นเงินเหรียญ จ่ายทันที “เป็นมัดจำ” เพื่อชดใช้ค่าเสียหายต่างๆ และเงินค่าทำขวัญภายใน 48 ชั่วโมง
หากไม่ทำตามนี้กระสุนจากปืนใหญ่บนเรือรบ 3 ลำ ที่ทันสมัยที่สุดจะบุกเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยา และจะสั่งให้ระดมยิงเข้าไปในพระที่นั่งจักรีอย่างไม่ปรานีอีกต่อไป

หมายเหตุ อัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น ๑ ฟรังก์ เท่ากับ ๐.๕๑๖ บาท

ไทยยอมรับเงื่อนไข

หม่อมเจ้าหญิงพูนพิสมัย ดิศกุล ทรงนิพนธ์ไว้ในเรื่อง”เหตุการณ์ ร.ศ.112 และเรื่องเสียเขตแดนใน ร.5″ มีว่า

แนวคิดการเงิน

วิธีการกันเงินไว้ใช้ในยามจำเป็นของรัชกาลที่ 3 โดยแบ่งเงินแยกไว้ต่างหาก จะใช้ก็ต่อเมื่อเกิดเหตุการณ์จำเป็นเท่านั้น จึงคล้ายกับวิธีการแบ่งกระปุกเงินออมตามเป้าหมาย เพื่อความมีระเบียบในการใช้เงิน จากเรื่องนี้เราจะเห็นชัดเจนเลยว่า การแบ่งรายได้จากการค้าขายหรือแบ่งเงินเดือนมาออมนั้นสำคัญมากๆ เพราะเราไม่รู้ว่าวิกฤตจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ การมีเงินฉุกเฉินไว้ก็จะทำให้แบ่งเบาความรุนแรงของวิกฤตนั้นลงได้บ้าง

ตัวอย่าง การแบ่งกระปุกเงินออม ในชีวิตจริงของเราอาจจะแบ่งมากหรือน้อยกว่านี้ก็ได้ ขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่วางแผนไว้ เคล็ดลับทำให้สำเร็จ คือ การแบ่งสัดส่วนเงินไว้อย่างชัดเจน

แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องการเงินของไทยนั้นมีมานานแล้ว เพียงแต่เรายังไม่ลงมือทำอย่างจริงจัง บทความนี้ต้องการเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องการบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องการเงินของพระมหากษัตริย์เพื่อให้คนอ่านรู้ว่าพระองค์ท่านก็ยังทรงสะสมเงิน ดังนั้น ถ้าเราอยากจะแสดงความรักต่อพระองค์ท่านก็เริ่มได้จากการ

..เริ่มออมเงิน…

 

อภินิหารเงินออม AomMoney Guru


แหล่งที่มาของข้อมูล

หนังสือ “ในหลวงของเรา” หน้า64
หนังสือ “พระมหากษัตริย์ยอดกตัญญู” หน้า 17
หนังสือ “สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนีกับการพัฒนาคุณภาพประชากร” สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ทรงพระกรุณาประทานพระดำรัช หน้า 53 – 55
ปกิณกะสารธรรม เรื่องของในหลวงที่เรา (อาจไม่เคยรู้) http://sys.dra.go.th/module/attach_media/sheet1520090306113915.pdf
ภาพทรงดนตรีนำมาจากเว็บ http://bit.ly/1LYXO1g
81 เรื่องของ “ในหลวง” ที่คนไทยควรรู้ http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000143683
๙ เรื่องเล่าต้นแบบแห่งชีวิต รองเท้าของพ่อ (เรื่องเล่าที่๕) http://www.oknation.net/blog/babymind/2007/11/29/entry-3
๔๘ ชั่วโมง ขีดเส้นตาย..สยาม http://www.klangluang.com/th/index.php?option=com_content&task=view&id=380&Itemid=340
สละเงินถุงแดง ไถ่ถอนชาติ http://www.klangluang.com/th/index.php?option=com_content&task=view&id=379&Itemid=340
เงินถุงแดง http://emuseum.treasury.go.th/article/376-thungdaeng.html

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook