Daily View - บล.กสิกรไทย

Daily View - บล.กสิกรไทย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

EU solving plans drive the market ข่าวดีจากยุโรปยังคงเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดหุ้น โดยเราคาดว่าแผนเบ็ดเสร็จในการแก้ปัญหาหนี้ยุโรปจพเสร็จสิ้นก่อนสิ้นเดือนนี้ ซึ่งจะทำให้การเก็งกำไรยังคงมีอยู่ต่อไปอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า นอกจากนี้เรายังมีข่าวดีทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ เช่นบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ จะเริ่มประกาศผลกำไร ซึ่งคาดว่าจะออกมาดี ขณะที่เงินเฟ้อของจีนที่จะประกาศวันที่ 14 ต.ค. ที่คาดว่าจะลดลงสำหรับในประเทศการเก็งกำไรผลประกอกบไตรมาสที่ 3 ก็จะเริ่มขึ้นในสัปดาห์หน้าจากกลุ่มธนาคาร อย่างไรก็ตามวิกฤติน้ำท่วม ซึ่งจะมีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยและกำไรของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่ 4 จะเป็นปัจจัยดึงการปรับขึ้นของตลาดหุ้นไทยในระยะต่อไป อีกทั้งเราเกรงว่าหลังยุโรปประกาศแผนแก้หนี้ยุโรปในช่วงปลายเดือนนี้แล้ว อาจมีการขายทำกำไรเมื่อข่าวดีออกมา อย่างไรก็ตามความเสี่ยงต่อคำแนะนำของเราคือภายในกลางเดือนหน้ายุโรปไม่มีแผนจัดการ วิกฤติอย่างเด็ดขาด downside risk มีโอกาสที่จะปรับลดลงได้ถึง 730 จุด กลยุทธ์การลงทุน: สำหรับนักลงทุนที่สะสมหุ้นตามคำแนะนำของเราก่อนหน้านี้ หากเริ่มมีกำไรแนะนำให้ทยอยลดพอร์ตออกไปก่อน เนื่องจากความเสี่ยงจากยุโรป ที่ยังคงมีอยู่และยากแก่การคาดการณ์ แม้ว่าเราจะยังเชื่อว่าได้ข้อสรุปภายในสิ้นเดือนนี้ก็ตาม แต่สำหรับท่านที่มีต้นทุนสูงอยู่และยังไม่ได้กำไร แนะนำให้ถือต่อไปได้ ส่วนการเก็งกำไรช่วงนี้จากตลาดที่ดูดีขึ้นให้เน้นไปที่กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับลดลงมามากเช่น BANPU PTT STA TOP KSL เป็นต้น เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ที่เริ่มอ่อนค่าลง ประกอบกับไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม   ปัจจัยสำคัญวันก่อนหน้า - ยูโรสแตท เผย การผลิตภาคอุตสาหกรรมกลุ่มยูโรโซนเดือนส.ค.ขยายตัว 1.2%MoM และ 5.3%YoY ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาด - พรรคการเมืองต่างๆของสโลวาเกีย รวมถึงพรรคฝ่ายค้าน ได้บรรลุข้อตกลงที่จะรับรองการเพิ่มอำนาจให้กับกองทุน EFSF - คณะกรรมการเฟดบางท่านสนับสนุนการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีความแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพมากกว่ามาตรการ Operation Twist - บริษัทอัลโค อิงค์ เผยผลกำไรน้อยกว่าคาด ขณะบริษัทเป๊ปซี โค ดีเกินคาด   ปัจจัยสำคัญวันนี้ - US: International Trade, Jobless Claims วันที่ 13 ต.ค. - ปัญหาหนี้ยุโรป - ปัญหาน้ำท่วม   ปัจจัยสำคัญในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ - China: CPI วันที่ 14 ต.ค. - EU: CPI วันที่ 14 ต.ค. - US: Retail Sales, Consumer Sentiment วันที่ 14 ต.ค. - ติดตามผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ เช่น JPMorgan Chase (พฤหัส), Pepsico (พุธ) และ Google (พฤหัส)   สรุปตลาดต่างประเทศ: DJ+102.55/+0.9%           S&P+11.71/+0.98%           NASDAQ+21.7/+0.84% FTSE+46.10/+0.85%         DAX+129.46/+2.21%          CAC+76.24/+2.42% ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น หลังจากมีรายงานว่าพรรคการเมืองต่างๆของสโลวาเกียบรรลุข้อตกลงที่จะรับรองการเพิ่มอำนาจให้กับกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) ประกอบกับแรงหนุนจากรายงานการประชุม FED ที่ระบุว่า คณะกรรมการบางคนเรียกร้องให้มีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพมากกว่า Operation Twist   สรุปตลาด Commodity: Oil USD85.57/bbl/-0.24           Gold USD1,682.6/Once/+21.6 สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลง หลัง IEA ปรับลดคาดการณ์ความต้องการน้ำมันทั่วโลก อย่างไรก็ตามสัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงเพียงเล็กน้อย เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง โดยค่าเงินที่อ่อนค่าลงยังส่งผลให้สัญญาทองคำล่วงหน้าปรับตัวสูงขึ้นด้วย   ECONOMICS & POLITICS - สำนักงานเศรษฐกิจการคลังเผยผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิ ประจำเดือนก.ย. 54 จำนวน 102,351 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 12,555 ล้านบาท หรือร้อยละ 14.0 ส่งผลให้ตลอดทั้งปีงบประมาณ 54 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 1,891,027 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 241,027 ล้านบาท หรือร้อยละ 14.6 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 10.9) เนื่องจากการขยายตัวของภาวะเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง - ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) กล่าวว่าสศค. จะเร่งดำเนินการเรื่องปฏิรูปโครงสร้างระบบภาษีทั้งระบบโดยเฉพาะภาษีบุคคลธรรมดาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม หลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติปรับลดภาษีนิติบุคคลลงจาก 30% เหลือ 23% ในปี 2555 และจะลดลงเหลือ 20% ในปี 2556 - สัปดาห์หน้าคลังเตรียมเสนอ ครม. เห็นชอบมาตรการเสริมสร้างขีดการแข่งขันของเอสเอ็มอีเพิ่มเติมอาทิ การขยายมูลค่าในการหักค่าเสื่อมสำหรับเอสเอ็มอี เพื่อทำให้เอสเอ็มอีเสียภาษีน้อยลง ดึงธนาคารรัฐและพาณิชย์มาร่วมปล่อยกู้ให้เอสเอ็มอี ซึ่งแนวทางที่ออกมาครั้งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่ถูกน้ำท่วม และลดภาระจากการขึ้นค่าแรง 300 บาท/วัน   สรุปประเด็นวิกฤติน้ำท่วม - นายกฯยันไม่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เหตุคนไทยร่วมใจแก้น้ำท่วม“ประชา”รับสถานการณ์เสี่ยงขึ้นมวลน้ำก้อนใหญ่ผ่านนครสวรรค์ ถึงกทม. 15 ต.ค. เชื่อป้องกันชั้นในได้แต่เขตรอบกรุงกระทบแน่ - ธปท.-แบงก์-เครดิตบูโร ผนึกกำลังอุ้มลูกหนี้กระทบน้ำท่วมจริง ไม่ต้องเป็นเอ็นพีแอลหรือติดแบล็คลิสต์สรุปประเด็นการเมือง - ส.ส.เพื่อไทยยืนกรานเสนอแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม อ้างสภาพปัจจุบันกองทัพเหมือนรัฐอิสระ แถมพูดกระแทก ผบ.ทบ.จะอยู่เหนือกฎหมายไม่ได้   INDUSTRY NEWS - กลุ่มยานยนต์: โตโยต้า มอเตอร์ บริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่สุดของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ได้ระงับการผลิตที่โรงงานทั้งสามแห่งในไทยจนถึงวันที่ 15 ต.ค.นี้เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนที่ป้อนให้กับโตโยต้านั้นได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมอย่างรุนแรง เนื่องจากผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์นั้นไม่สามารถลำเลียงชิ้นส่วนมายังโรงงานได้ - กลุ่มนิคมฯ: รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยจำนวนโรงงานที่ได้รับความเสียหายจากปัญหาน้ำท่วมในวันที่ 12 ต.ค.นี้เพิ่มขึ้นอีก 189 โรงรวมเป็น 951 โรงงาน กระทบแรงงาน 1.28 แสนคน มีความเสียหายแบ่งเป็นความเสียหายทางตรง 4,492 ล้านบาท ความเสียหายทางอ้อม 2.47 หมื่นล้านบาท รวมความเสียหายทั้งสิ้น 2.92 หมื่นล้านบาท ขณะที่นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค น้ำรั่วเข้ามาเป็นช่องเล็กๆ โดยขณะนี้มีกำลังทหารจำนวน 150 นาย เข้ามาช่วยดูแลในพื้นที่ โดยคันดินยังสามารถรองรับระดับน้ำได้อีก 50 เซนติเมตร และได้สั่งการให้เสริมคันดินสูงอีก 50 เซนติเมตร จาก 5.50 เมตร เป็น 6 เมตร - กลุ่มพลังงาน: รมว.พลังงานพร้อมลอยตัวก๊าซแอลพีจีภาคขนส่ง-อุตสาหกรรมต่อ ส่วนครัวเรือนตรึงไปก่อนขณะที่มาตรการบัตรเครดิตพลังงานรอสรุปสิ้นปี ยังไม่สั่งผู้ค้าน้ำมันชะลอปรับราคา   EXTERNAL FACTOR - ดัชนี DJ ปิดบวก 102.55 จุด หรือ 0.9% ปิดที่ 11,518.85 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 11.71 จุด หรือ 0.98% ปิดที่ 1,207.25 จุด ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 21.7 จุด หรือ 0.84% ปิดที่ 2,604.73 จุด ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นขานรับรายงานข่าวที่ว่า พรรคการเมืองต่างๆของสโลวาเกีย รวมถึงพรรคฝ่ายค้าน ได้บรรลุข้อตกลงที่จะรับรองการเพิ่มอำนาจให้กับกองทุน EFSF ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนมีความหวังว่ารัฐสภาสโลวาเกียจะมีมติอนุมัติการเพิ่มทุนให้กับกองทุนดังกล่าวในการประชุมครั้งต่อไป หลังจากที่รัฐสภาสโลวาเกียปฏิเสธแผนการเพิ่มขนาดกองทุน EFSF ในการลงมติรอบแรกเมื่อวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา นอกจากนี้ตลาดยังได้แรงหนุนจากรายงานการประชุมของเฟดของวันที่ 20-21 ก.ย.ซึ่งระบุว่า คณะกรรมการเฟดบางคนสนับสนุนให้มีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีความแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพมากกว่ามาตรการ Operation Twist อย่างไรก็ตามรายงาน การประชุมของเฟดเตือนว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีความเสี่ยงอย่างมากที่จะเผชิญกับภาวะขาลงซึ่งรวมถึงภาวะถดถอยในตลาดที่อยู่อาศัย, มาตรการคุมเข้มด้านการคลังที่มากจนเกินไป และผลกระทบจากการลุกลามของวิกฤตหนี้ยุโรป โดยหุ้นเป๊ปซี โค พุ่งขึ้น 2.87% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการพุ่งขึ้น 4.1% - ราคาน้ำมัน NYMEX ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง USD0.24bbl หรือ 0.28% ปิดที่ USD85.57/bbl เนื่องจากIEA ปรับลดคาดการณ์ความต้องการน้ำมันทั่วโลก อย่างไรก็ตามสัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงเพียงเล็กน้อยเนื่องจากภาวะการซื้อขายในตลาดได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ - สัญญาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น USD21.6 หรือ 1.3% ปิดที่ระดับ USD1,682.6เนื่องจากการอ่อนค่าลงของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ - ดัชนีค่าระวางเรือ ปิดที่ 2,127 เพิ่มขึ้น 21 จุด หรือ 0.99% - สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป หรือ ยูโรสแตท เปิดเผยว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค.ในกลุ่มยูโรโซนขยายตัว 1.2%MoM ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะหดตัว 0.8%MoM โดยเมื่อเปรียบเทียบเป็นรายปี การผลิตภาคอุตสาหกรรมในกลุ่มยูโรโซนขยายตัว 5.3% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยายตัว2.1%YoY - สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษเปิดเผยว่า จำนวนผู้ไม่มีงานทำในช่วงสามเดือนจนถึงส.ค. เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.57 ล้านคน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2537 ส่งผลให้อัตราว่างงานปรับตัวขึ้นแตะ 8.1% สูงสุดในรอบ 15 ปี จากระดับ 7.9% ในช่วงสามเดือนจนถึงเดือนก.ค.   TODAY’S REPORTS - KSL และ KBS: เราปรับประมาณการกำไรหุ้นในกลุ่มการแพทย์ขึ้น และยังคงคำแนะนำ Overweightสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) รายงานพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายระหว่างวันที่ 6 ถึง 11 ตุลาคม มีพื้นที่ปลูกอ้อยเสียหายเพิ่มขึ้นจาก 190,820 ไร่ (รายงานเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา) เป็น 346,149 ไร่ โดยพื้นที่ปลูกอ้อยที่ได้รับความเสียหายจำนวน 346,149 ไร่ คาดว่าจะทำให้ปริมาณน้ำตาลของไทยลดลง 3.5% จาก99.4 ล้านตัน มาอยู่ที่ 96 ล้านตัน จากข่าวดังกล่าวเรามองว่าจะส่งผลบวกต่อ KSL และ KBS เนื่องจากราคาน้ำตาลที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับพื้นที่ปลูกอ้อยของ KSL และ KBS ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม เรายังคงคำแนะนำ Buy สำหรับ KSL (ราคาพื้นฐาน 18.9 บาท) และ KBS (ราคาพื้นฐาน 17.3 บาท) โดยเราชอบ KBS ในระยะสั้นมากกว่า เนื่องจากเราคาดว่า KBS จะมีการจ่ายเงินปันผลจำนวน 0.4 บาท/หุ้น (Dividend yield 4.3%) ซึ่งคาดว่าจะประกาศจ่ายได้ ณ สิ้นเดือนหน้า - KK: รายงานกำไรงวด 3Q54 อยู่ที่ 874 ล้านบาท (+25.5%QoQ, +14.3%YoY)KK รายงานกำไรสุทธิงวด 3Q54 ที่ 874 ล้านบาท (+25.5%QoQ, +14.3%YoY) เติบโตแข็งแกร่งจากรายงานกำไรจากการขายสินทรัพย์รอการขายและการกลับรายการขาดทุนจากการตีราคาสินทรัพย์รอการขาย รวมถึงอัตราภาษีที่ลดลง โดย KK มียอดสินเชื่องวด 3Q54 เติบโต 6.8%QoQ แต่รายได้จากอัตราดอกเบี้ยลดลงเนื่องจาก NIM ที่ปรับลดลง อย่างไรก็ตามเราคาดว่าอัตราการเติบโตของยอดสินเชื่อและกำไรจากการขายสินทรัพย์รอการขายของงวด 4Q54 จะไม่เติบโตแข็งแกร่งเท่ากับงวด 3Q54 เรายังคงคำแนะนำ Buy ราคาพื้นฐาน 47 บาท - THAI: เราคาดว่าผลประกอบการงวด 3Q54 จะพลิกกลับมามีกำไรที่ 1.55 พันล้านบาทเราคาดว่า THAI จะรายงานกำไรสุทธิงวด 3Q54 อยู่ที่ 1.55 พันล้านบาท (งวด 3Q53 มีกำไร 136 ล้านบาท ขณะที่งวด 2Q54 ขาดทุน 7.87 พันล้านบาท) เนื่องจากการบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน (การอ่อนค่าของเงินยูโรเมื่อเทียบกับบาท โดย THAI มีวงเงินกู้สกุลยูโร คิดเป็น 45% ของเงินกู้รวม) จำนวน 2.4 พันล้านบาท และการโอนกลับเงินสำรองสำหรับกรณีการกีดกันทางอากาศ (Air cargo cartel) ประมาณ 1 พันล้าบาท อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาเฉพาะกำไรจากการดำเนินงานปกติงวด 3Q54 เราคาดว่า THAI จะมีผลขาดทุนประมาณ 1.8 พันล้านบาท เนื่องจาก Load factor งวด 3Q54 ที่ต่ำกว่าจุดคุ่มทุน (70%) โดยอยู่ที่ 68.5% ประกอบกับค่าใช้จ่ายจากราคาเชื้อเพลิงที่ลดลงเพียงเล็กน้อย แต่เรายังเชื่อว่ากำไรจากการดำเนินงานปกติงวด 4Q54 จะกลับมาดีขึ้นเนื่องจากผลของฤดูกาล เรายังคงคำแนะนำ Outperform ราคาพื้นฐาน 36.6 บาท   ALTERNATIVE INVESTMENT STRATEGY สุชีล นารูลา (susheel.n@kasikornsecurities.com; Tel +662 696-0021)   Gold Futures: แนะนำให้เปิด Long กรณีที่ GV11 ทะลุ 24,870 ขึ้นไปได้จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค ราคาทองโลก (RTXGL) รีบาวด์กลับขึ้นมาใกล้แนวต้านบริเวณ $1,684-1,686 ซึ่งถ้าสามารถทะลุผ่านขึ้นไปได้ มีโอกาสขึ้นไปทดสอบที่ $1,700-1,710 และ $1,715-1,725 หรือสูงกว่านั้น ขณะที่ แนวรับอยู่ที่ $1,655 และ $1,647 สำหรับ Gold Futures (GFV11) ทาง Technical กำลังแกว่งอยู่ในกรอบแนวต้านที่ 24,790 และ 24,870 ซึ่งถ้าสามารถทะลุผ่านขึ้นไปได้ มีโอกาสขึ้นไปทดสอบแนวต้านต่อไปที่ 25,000, 25,350 และ 25,650 หรือสูงกว่านั้นแต่ถ้าหลุด 24,500 ลงมา อาจแกว่งกลับลงไปที่ 24,350 หรือ 24,000-23,780 เราแนะนำให้รอดูจังหวะต่อไปก่อนโดยสามารถเปิด Long ได้ กรณีที่ GV11 สามารถทะลุผ่าน 24,870 ขึ้นไปได้ SET50 Futures: เราแนะนำ 2 กลยุทธ์ จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค คือ S50Z11 ในระยะกลางถึงยาวยังมีความเสี่ยงอยู่ โดยมีโอกาสขึ้นไปทดสอบแนวต้านบริเวณ 671-675 และ/หรือ 682 แต่ถ้าแกว่งลงมาหลุดแนวรับบริเวณ 662-660 มีโอกาสแกว่งลงไปทดสอบที่639-637 และ/หรือ 627-625 หรือต่ำกว่านั้นที่ 613 กลยุทธ์ช่วงนี้ยังคงแนะนำให้ทำในวงจำกัด กลยุทธ์การลงทุน : 1) กรณี Long แนะนำให้เปิด Long หลังแบ่งทำกำไรไปแล้ว ถ้าตลาดภูมิภาคเปิดบวก เพื่อรอจังหวะขึ้นไปแบ่งทำกำไรที่ 675 และ/หรือ 682 โดยใช้ 660 เป็น Stop loss 2) กรณี Short แนะนำให้เปิด Short เมื่อ S50Z11 ถอยลงมาจากแนวต้านบริเวณ 671-675 และ/หรือ 682 หรือกรณีที่หลุด 662-60 ลงมาระหว่างวัน เพื่อรอจังหวะลงไปแบ่งทำกำไรบริเวณ 639-637 (S50Z11 มีแนวต้าน 671-675, 682 และ 691-692 แนวรับ 662-660, 639-637 และ 627-625)   MARKET EVENT   Thai Event - สัปดาห์ที่ 2 เดือนต.ค. ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย แถลงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค - 17/10/11 ตลาดอนุพันธ์ เปิดซื้อขายสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า (Oil Futures) - 19/10/11 กนง. ประชุมนโยบายดอกเบี้ย - สัปดาห์ที่ 3 เดือนต.ค. ส.อ.ท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรม, ยอดการผลิตและส่งออกรถยนต์ - ถจักรยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ - สัปดาห์ที่ 3 เดือนต.ค. กระทรวงพาณิชย์รายงานตัวเลขส่งออกของไทย - 28/10/11 ธปท. รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อ - สัปดาห์ที่ 4 เดือนต.ค. สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.)แถลงดัชนีอุตสาหกรรมประจำเดือน - สัปดาห์ที่ 4 เดือนต.ค. สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.)แถลงดัชนีอุตสาหกรรมประจำเดือน - สัปดาห์ที่ 4 เดือนต.ค. สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง - 31/10/11 ธปท. รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยเดือนก.ย. - 01/11/11 กระทรวงพาณิชย์รายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือนต.ค.   World Event - 13/10/11 China: Trade Balance - 13/10/11 US: International Trade* - 13/10/11 US: Jobless Claims* - 14/10/11 China: CPI* - 14/10/11 EU: CPI* - 14/10/11 EU: Trade Balance - 14/10/11 US: Retail Sales* - 14/10/11 US: Import and Export Prices - 14/10/11 US: Consumer Sentiment - 14/10/11 US: Business Inventories * Markets will pay more attention to these figures   กวี ชูกิจเกษม Kavee.c@kasikornsecurities.com, +662 696-0030 วิชญะ วงศ์ภาณุวิชญ์ Wichaya.w@kasikornsecurities.com, +662 696-0038   โดย บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด ประจำวันที่ 13 ต.ค. 2554

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook