ดัชนีดาวโจนส์ปิดส่งท้ายปี2554ลดลง 69.48 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ปิดส่งท้ายปี2554ลดลง 69.48 จุด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิด ในวันสุดท้ายของการซื้อขายปี 2554 เมื่อคืนนี้ (30 ธ.ค.)ปรับตัวลง 69.48 จุด หรือ 0.57% ปิดที่ 12,217.56 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 5.42 จุด หรือ 0.43% ปิดที่ 1,257.60 จุด และดัชนี Nasdaq ลบ 8.59 จุด หรือ 0.33% ปิดที่ 2,605.15 จุด  เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่จะถึงวันหยุดในเทศกาลปีใหม่ ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายบางเบา นอกจากนี้ ตลาดยังขาดปัจจัยชี้นำซึ่งรวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ จึงทำให้บรรยากาศการซื้อขายในวันสุดท้ายของปี 2554 เป็นไปอย่างเงียบเหงา โดย  ภาวะการซื้อขายในวันสุดท้ายของปี 2554 เป็นไปอย่างเงียบเหงา เนื่องจากนักลงทุนไม่ต้องการเข้าทำโพสิชั่นในช่วงปลายปีและก่อนที่จะถึงวันหยุดในช่วงเทศกาลปีใหม่ นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายโดยรวมยังได้รับแรงกดดันอยู่ก่อนแล้ว จากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการลุกลามของปัญหาหนี้ หลังจากต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลอิตาลียังคงเคลื่อนไหวในระดับที่สูงมาก ในการประมูลพันธบัตรครั้งหลังสุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ทั้งนี้ อิตาลีประมูลขายพันธบัตรอายุ 10 ปี ได้ 7 พันล้านยูโร ด้วยอัตราผลตอบแทน 6.98% ซึ่งแม้ว่าจะลดลงจากระดับ 7.56% ของการประมูลครั้งก่อน แต่ก็ยังถือว่าเป็นระดับที่ไม่มีเสถียรภาพ เมื่อพิจารณาจากการที่กรีซ ไอร์แลนด์ และโปรตุเกส ต้องยื่นขอความช่วยเหลือด้านการเงินหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ของประเทศเหล่านี้ พุ่งขึ้นเหนือระดับ 7% สำหรับการซื้อขายตลอดปี 2554 ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 5.5% ซึ่งถือเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งที่สุดเมื่อเทียบกับดัชนีสำคัญตัวอื่นๆในตลาดหุ้นทั่วโลก ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปรับตัวลงทั้งสิ้น 1.8% และดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงทั้งสิ้น 0.04% ในปี 2554 หุ้นแมคโดนัลด์ คอร์ป ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นหุ้นที่แข็งแกร่งที่สุดในปี 2554 โดยปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 31% ขณะที่หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นหุ้นที่อ่อนแอที่สุดในปี 2554 โดยร่วงลงไปทั้งสิ้น 58% ขณะที่ หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคได้รับการจัดอันดับว่าเป็นหุ้นกลุ่มที่พุ่งขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับบรรดาหุ้นอุตสาหกรรม 10 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P 500 โดยหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคทะยานขึ้นทั้งสิ้น 15% ในปี 2554 รองลงมาคือหุ้นกลุ่มผู้ผลิตอาหารเพื่อผู้บริโภคซึ่งปรับตัวขึ้น 11% และหุ้นกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพ ปรับตัวขึ้น 10%  

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook