4 วิธีช่วยผ่อนคลายอารมณ์เครียดของคนรัก

4 วิธีช่วยผ่อนคลายอารมณ์เครียดของคนรัก

4 วิธีช่วยผ่อนคลายอารมณ์เครียดของคนรัก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ชีวิตประจำวันปกติของคนเรานั้นมีปัญหาชวนเหนื่อยใจมากแค่ไหน? คำตอบของคำถามนี้ บางคนอาจจะนั่งบ่นได้เป็นชั่วโมงทีเดียวเพียงแค่เราเอ่ยปากถาม เพราะชีวิตของเรามักจะต้องเจอกับเรื่องราวมากมายในแต่ละวัน ทั้งเรื่องที่บ้าน เรื่องที่ทำงาน ฝนฟ้าอากาศ การเดินทาง การจราจร ข่าวสารบ้านเมือง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องคนและความสัมพันธ์ระหว่างคนด้วยกัน หลายวันมาแล้วที่ไม่มีเรื่องบังเอิญอะไรที่ทำให้เรายิ้มหรือหัวเราะออก ครั้งสุดท้ายที่รู้สึกว่าตัวเองอารมณ์ดีมีความสุขสุด ๆ คือเมื่อไหร่ก็ไม่รู้จำไม่ได้แล้ว

เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เราจะเห็นคนรอบข้างของเราหน้าตาบูดบึ้ง คิ้วขมวดชนกัน สีหน้าเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลาอยู่บ่อย ๆ เราเห็นพวกเขาเป็นแบบนั้นเรายังรู้สึกเครียดตามด้วยเลย แล้วยิ่งถ้าทั้ง 2 ฝ่ายดันมีเรื่องส่วนตัวชวนปวดหัวให้คิดเยอะเป็นทุนเดิมก่อนเจอหน้ากันด้วยแล้วล่ะก็ มีโอกาสสูงเลยล่ะว่าทั้งคู่อาจจะเปิดศึกทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เห็นไม่ตรงกัน

ถ้าอย่างนั้น เราลองมาหาทางช่วยเหลือพวกเขากันดูไหม ในช่วงที่ตัวเราไม่ได้มีเรื่องเครียดอะไรมากมายจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เพื่อให้คนรักของคุณรู้สึกดี ลดระดับความเครียด และได้ผ่อนคลายทางจิตใจมากยิ่งขึ้น เขาหรือเธอก็จะได้ไม่มาหาเรื่องชวนทะเลาะด้วยเมื่อพวกเขาเครียดน้อยลง

ให้เวลาส่วนตัวกับเขาหรือเธอให้มากขึ้น
ถ้าหนึ่งในสาเหตุที่คนโสดมักจะใช้ตอบคำถามที่ว่าทำไมถึงพอใจกับความโสดจนไม่อยากมีแฟน คือ “แค่เรื่องของตัวเองก็เครียดพออยู่แล้ว จะหาเอาเรื่องของคนอื่นมาใส่ตัวอีกทำไม” หรือ “เวลาของตัวเองยังแทบไม่มี จะเอาเวลาไหนไปมีความรัก” ขอให้รู้ว่าไม่ใช่แค่คำกล่าวอ้างลอย ๆ ตอบสั่ว ๆ เพื่อตัดรำคาญ แต่หลายคนคิดแบบนั้นจริง ๆ ไม่ว่าจะด้วยประสบการณ์ส่วนตัวหรือที่เห็นจากคนรอบตัว กิจวัตรประจำวันทั่วไปของคนเรานั้นต้องเข้าสังคมแทบทุกวันเป็นปกติ การมีปฏิสัมพันธ์กับคนหลากหลายเป็นเรื่องที่ต้องใช้พลังมากเลยทีเดียว เพราะในสังคมมีคนหลายประเภท หากเจอพวกคนงี่เง่าแค่คนเดียวก็สูบพลังชีวิตไปเกือบหมด มีทั้งความเครียด ความกดดัน ประสาท จนไม่อยากเจอใครอีก

ถ้าพวกเขายังต้องมาเจอกับคนใกล้ตัวสูบพลังชีวิตที่เหลืออยู่น้อยนิดอีกละก็ ความเครียดที่มีอยู่เดิมอาจไต่ระดับสูงขึ้นไปอีก เลวร้ายที่สุดคือถึงขั้นแตกหักได้เลย หากอยากให้พวกเขาได้ผ่อนคลาย บางทีเราไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ให้เวลาส่วนตัวพวกเขาได้อยู่กับตัวเองเพิ่มขึ้นอีกหน่อยก็พอ เว้นที่ให้ได้หายใจหายคอบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ทำไม่สนใจจนรู้สึกโดดเดี่ยว เป็นแบบสแตนด์บายอยู่ใกล้ ๆ พร้อมช่วยเหลือมากกว่า แค่บอกพวกเขาว่าจะให้เวลาส่วนตัวนะ สบายใจค่อยว่ากัน แล้วปล่อยให้พวกเขาได้นั่งคิด ทำอะไรคนเดียวบ้าง ก็ช่วยให้พวกเขาผ่อนคลายลงได้ระดับหนึ่งเลย

เป็นผู้ฟังที่ดีและให้กำลังใจกัน
บางที เราอาจจะเห็นแล้วแหละว่าคนรักกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยากลำบาก พวกเขามีอาการเครียดที่แสดงออกมาจนเรายังสังเกตได้ ก็อาจจะลองหาจังหวะเหมาะ ๆ แสดงความห่วงใยและให้ความช่วยเหลือ ถามไถ่พวกเขาว่าสถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างไร มีอะไรให้ช่วยไหม หรือจะแค่เลียบ ๆ เคียง ๆ แสดงความเป็นห่วง เพื่อให้พวกเขาขอความช่วยเหลือเองก็ได้ บางคนถนัดแบบนั้นมากกว่า แน่นอนว่าเราคงต้องรับฟังปัญหาแล้วประเมินก่อนว่าเราช่วยเหลือพวกเขาได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งบางทีเราอาจจะช่วยแก้ปัญหาของพวกเขาไม่ได้เลย แต่เราก็สามารถเป็นผู้ฟังที่ดีที่จะรับฟังปัญหาของพวกเขาได้เหมือนกัน เพราะแค่ได้ระบายความคับข้องใจออกมา ก็ช่วยบรรเทาได้เล็กน้อย

ดังนั้น ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ แค่เราทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดีเพื่อให้พวกเขาได้ระบายสิ่งที่กำลังหนักอกหนักใจออกมาบ้าง แบ่งเบาความทุกข์ในใจที่พวกเขากำลังแบกไว้ และคอยให้กำลังใจพวกเขาอยู่ใกล้ ๆ เป็นสิ่งที่เราทำได้ง่ายมาก ๆ อาจแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์และให้คำแนะนำตามสมควร แต่ต้องมั่นใจว่าจะไม่ทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดกว่าเดิมที่นำเอาปัญหานี้มาเล่าให้เราฟัง แบบนั้นเราเองก็ต้องเป็นคนที่เข้มแข็ง พึ่งพาได้ และแกร่งมากพอที่จะเป็นหลักให้พวกเขาได้พิงชั่วคราว พวกเขาจึงจะกล้าแสดงมุมอ่อนไหวออกมา

สัมผัสทางกาย แสดงความห่วงใยใกล้ชิด
การให้กำลังใจด้วยการสัมผัสทางกาย ช่วยมอบพลังให้กันและกันมากกว่าที่คิด ซึ่งสัมผัสทางกายที่เรามักจะทำบ่อย ๆ เพื่อให้กำลังใจคนอื่น ๆ ก็คือ การจับ-กุม-บีบมือ การลูบหัว การตบบ่าเบา ๆ การลูบหลัง การโอบกอด หรือบางทีอาจจะออกแรงบีบ ๆ นวด ๆ บริเวณขมับ ศีรษะ คอ บ่า ไหล่ หลัง ก็ช่วยให้อีกฝ่ายรู้สึกผ่อนคลายความตึงได้ ทั้งความตึงเครียด และความตึงของกล้ามเนื้อ ช่วยให้รู้สึกสบายตัวได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน การสัมผัสทางกายจะทำให้พวกเขารับรู้ได้ถึงพลังใจจากคนรักที่อยู่ข้าง ๆ (แต่ต้องดูจังหวะดี ๆ นิดนึงนะ) ประมาณว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็จะยังอยู่ตรงนี้เสมอ อยู่ใกล้ ๆ ไม่ไปไหน หันมาเมื่อไรก็เจอ มันช่วยให้รู้สึกมั่นคงทางจิตใจมากขึ้นว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนเราจึงกล้าที่จะร้องไห้โฮเป็นเด็ก ๆ ทันทีเมื่อถูกสวมกอดอย่างอ่อนโยนจากคนที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว คนรัก เพื่อนสนิท สัตว์เลี้ยง หรือแม้แต่การโอบกอดตัวเอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้พยายามอดกลั้นอดทนต่อความทุกข์ใจมาได้ตั้งนานสองนาน จริง ๆ มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ว่าทำไมการกอดจึงเป็นยาที่บรรเทาความเจ็บปวดทางใจได้ เพราะเมื่อเราโอบกอดกัน ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนออกซิโตซิน (Oxytocin) จากต่อมใต้สมอง ที่ทำให้ร่างกายของผู้ให้และผู้รับการกอดรู้สึกผ่อนคลาย กลายเป็นยารักษาใจที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย

สร้างบรรยากาศสนุกสนานครื้นเครง ทำลายความหดหู่ให้สิ้นซาก
ก็นะ การใช้ชีวิตประจำวันปกติของคนเรามันค่อนข้างที่จะห่างไกลจากความสนุกสนานครื้นเครงอยู่พอตัว ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นชีวิตที่ดำเนินไปด้วยกิจวัตรแบบเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ทุกวัน ค่อนข้างนิ่งเรียบ ในขณะที่สถานการณ์แวดล้อมในระดับใหญ่มันก็ชวนหดหู่เข้าไปอีก ไปทำงานก็เจอฝนตก รถติด น้ำท่วม แทบทุกวัน ไม่เจอแดดตากผ้ามากี่วันแล้วไม่รู้ เงินเฟ้อ ข้าวของราคาแพงทำให้มนุษย์เงินเดือนยิ้มไม่ออก ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดอมทุกข์เวลาเจอกัน ข่าวสารบ้านเมืองก็มีแต่ข่าวที่ชวนหดหู่สังเวชใจ ข่าวการเมือง ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวอาชญากรรม ข่าวต่างประเทศ ข่าวบันเทิงก็ยังมีแต่ดราม่า ข่าวกีฬาทีมที่เชียร์แพ้ตลอด คือมันไม่ได้มีอะไรที่จรรโลงใจเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันบ้างเลย

ในเมื่อชีวิตประจำวันปกติมันไม่เอื้อให้เราได้สนุกสนานครื้นเครงเท่าไรนัก การสร้างความบันเทิงขึ้นมาเองเสียเลยจึงเป็นไอเดียที่ไม่เลว อย่างน้อยที่สุดก็ยังได้หลุดจากโลกความเป็นจริงที่สุดแสนจะหดหู่ได้บ้าง ให้ชีวิตได้มีความสนุกสนาน มีเสียงหัวเราะ มีความสดใสมาทำลายความอึมครึมทางอารมณ์ อาจเริ่มต้นง่าย ๆ แค่การจัดบ้านใหม่ให้อะไร ๆ มันเข้าที่เข้าทางเป็นระเบียบเรียบร้อย แสงสว่างเข้ามาง่ายกว่าเดิม มีงานปาร์ตี้เล็ก ๆ มีอาหารคาวหวานอร่อย ๆ ของโปรดพวกเขา แบบที่ได้กินสิ่งนี้แล้วอารมณ์ดี มีหนังมีซีรีส์ตลก ๆ เปิดดูด้วยกัน แค่นี้สภาพจิตใจก็ดีขึ้นมากแล้ว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook