“ลีโอ พุฒ” จากชีวิต “หมาล่าเนื้อ” สู่วิถี “คนข้างสปอร์ตไลท์”

“ลีโอ พุฒ” จากชีวิต “หมาล่าเนื้อ” สู่วิถี “คนข้างสปอร์ตไลท์”

“ลีโอ พุฒ” จากชีวิต “หมาล่าเนื้อ” สู่วิถี “คนข้างสปอร์ตไลท์”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากนับเวลาย้อนกลับไปเมื่อสักประมาณ 20 ปีก่อน พุฒิพงศ์ ศรีวัฒน์ หรือในฉายาที่คนทั่วไปเรียกกันจนติดปากว่า “ลีโอ พุฒ” เริ่มต้นชีวิตในวงการบันเทิงด้วยอาชีพนักร้องสไตล์เพลงป๊อป ที่มีภาพจำติดตาว่าเป็นหนุ่มตี๋ ไว้ผมยาวฟู ขี่รถมอเตอร์ไซค์ยี่ห้อเวสป้า เรียกได้ว่าเป็นต้นแบบของวัยรุ่นยุคก่อน

ในขณะนั้นนอกจากผลงานเพลงของเขาหลายๆ เพลงจะฮิตติดหูแล้ว ต่อมาเขายังได้ชิมลางงานในวงการบันเทิงประเภทอื่นๆ ทั้งเล่นละคร เล่นหนัง เป็นพิธีกร รวมไปถึงการเป็นนักพากษ์เสียง เรียกได้ว่าแทบจะครบทุกบทบาทในวงการมายา

ปัจจุบัน “ลีโอ พุฒ” ยังคงเดินทางอยู่ในเส้นทางสายเดิม หากแต่เป็นการเดินทางในแบบที่ต่างออกไปจากอดีต ก้าวทีละก้าวแบบไม่เร่งรีบ ก้าวทุกก้าวแบบรู้เท่าทัน และเป็นก้าวทุกก้าวที่เขาพร้อมเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพื่อเติมเต็มชีวิตในวัย 38 ปี

ความสำเร็จไม่ได้หอมหวาน
จุดหมายแห่งความสำเร็จของทุกคนแตกต่างกัน บางคนบอกว่าเงินทองต้องกองท่วมหัว บางคนหวังว่าต้องได้ครองตำแหน่งผู้บริหาร หรือถ้าเป็นศิลปินนักร้องในปัจจุบันก็ต้องได้รับรางวัลและความนิยมเป็นล้านๆ ไลค์ แต่ข้อเท็จจริงหนึ่งของความสำเร็จที่หลายคนมักมองข้ามคือ เมื่อชีวิต “ขึ้น” ไปถึงจุดที่สำเร็จแล้ววันหนึ่งมันจะต้อง “ลง” เช่นกัน สำหรับลีโอ พุฒ เขาก็เป็นคนหนึ่งที่คิดและเข้าใจในความจริงข้อนี้ดี

“จากความคิดแต่ก่อนเราประสบการณ์น้อย เราอาจมองรุ่นพี่ที่เขาประสบความสำเร็จเป็นแบบอย่าง คนๆ นั้นอาจรวยมาก คนๆ นั้นอาจมีเรือยอร์ช คนๆ นั้นอาจจะเป็นซุปเปอร์สตาร์ มีชื่อเสียงเงินทอง ตอนนั้นเราทำงานด้วยความกระหายเหมือนหมาล่าเนื้อ กระหายความสำเร็จ อยากดัง เราอยากทำงานเพื่อจะมีชื่อเสียงและต่อยอดไปทำอย่างอื่น”

แน่นอนว่าการยืนระยะเวลาอยู่ในวงการบันเทิงให้ได้ยาวนานเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย เพราะมีดาวดวงใหม่เกิดขึ้นมาแทนดาวหมดแสงดวงเก่าตลอดเวลา

“ตอนมีชื่อเสียงผมไม่เคยเขวไปกับมัน ผมยังเดินกินอะไรข้างถนน ผมยังนั่งรถเมล์ แม้ตอนนั้นจะมีคนรุมล้อม โดยเฉพาะวัฒนธรรมของที่ทำงานเก่าของผมหลายๆ ที่ที่ผ่านมาเขาจะยกหางและอวยสุดๆ ในทุกทาง ถ้าคนรับมือกับมันไม่ได้อาจเขว แต่ผมไม่เป็น ผมไม่เคยคิดว่าผมดัง เพราะถ้าเราคิดว่าเรา “ดัง” และขึ้นสูงแล้ว มันก็รอแค่วันที่เราจะลง แต่ผมมองว่าทุกวันมันคือ “กำไร” เราก็เป็นพุฒคนเดิม ทำทุกอย่างไปตามจังหวะชีวิต แต่ต้องไม่ลืมว่าจริงๆ แล้วเราเป็นใคร และเมื่อถึงวันที่เราลง เราก็รับมือกับมันได้ เพราะเราไม่เคยคิดว่าเราดัง”

ดังนั้นในวันที่ลีโอ พุฒประสบความสำเร็จอย่างสูง เขา "มี" และ "ได้" ในสิ่งที่ตนเองต้องการทุกอย่าง แต่เมื่อมีด้านที่ "ได้" มันก็ต้องมีด้านที่ "สูญเสีย " ซึ่งทำให้เขารู้สึกเสียดายมาจนถึงทุกวันนี้

"ผมกลับไปนั่งดูหนังสือรุ่น หรือแม้แต่เพื่อนร่วมทริปที่รักๆ กันไปเที่ยวต่างจังหวัด เขาถ่ายรูปและโพสลงในเฟชบุ๊ค แต่มันไม่มีรูปผม แต่ถ้าไปเสิร์ชกูเกิลกลับเจอรูปผม จริงๆ ผมเลือกอยากมีรูปกับพวกเขามากกว่า แต่มันก็ย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว แล้วมันเหมือนกับว่าความทรงจำในช่วงนั้นมันหายไปเลย แต่มันก็แฟร์ดีครับ เพราะมันก็แลกมาซึ่งหน้าที่การทำงาน ที่ผมหาเลี้ยงตัวเองอยู่จนถึงทุกวันนี้"

“เจียมตัว” และ “ถ่อมตน” เส้นหลักของชีวิต
ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในวงการบันเทิง ลีโอ พุฒ ยึดถือคำสอนเพียง 2 ข้อที่คุณแม่และคุณยายเฝ้าปลูกฝังนั่นคือเจียมตัว และ ถ่อมตัว ซึ่งถือเป็นคำสั่งสอนที่สำคัญสำหรับการจะยืนหยัดอยู่ในวงการบันเทิง

“บางทีไม่พูดน่ะฉลาดกว่า พูดเท่าที่จำเป็น บางครั้งเราต้องรู้จักควบคุมอารมณ์บ้าง รู้อะไรมาพูดแล้วมันอาจจะสร้างความเสียหายวงกว้างเราก็ไม่ควรพูด แต่เชื่อไหมครับว่าบางครั้งพอเราเจียมตัว ถ่อมตัว กลายเป็นคนไม่ให้เกียรติ กลายเป็นว่าง่าย ยังไงก็ได้ แต่ถ้ามันถึงจุดหนึ่งที่เราจำเป็นต้องพูด มันก็กลายเป็นว่าเราเป็นคนเยอะ แต่ถ้าเราเป็นคนเยอะตั้งแต่ต้น มีข้อแม้มาก ก็กลายเป็นว่าเรายากและดูมีค่า คนเขาให้ค่ากันแบบนั้น แต่ผมคิดว่ามันไม่ถูกต้อง ผมว่าเราควรให้ค่าเรื่องมิตรภาพ ความจริงใจ มารยาท ความดี ไม่ใช่รวย สวย เพราะเรื่องเหล่านั้นใครมีได้ถือว่าโชคดี แต่ถ้าใครไม่มีก็ไม่ได้หมายถึงว่าเขาไม่ดี คือถ้าเรามองว่าเขาแต่งตัวอย่างไร ขับรถอะไรมา พ่อแม่นามสกุลอะไร มองแต่แบบนี้ มันก็เหมือนพายเรือวนในอ่าง ต่อให้รวยล้นฟ้ายังไง เมื่อวันหนึ่งล้มขึ้นมา คนพวกนี้ผมว่าเขาเอาตัวไม่รอดแน่ๆ”

ด้วยไม่เคยคิดว่าตนเองประสบความสำเร็จ ด้วยไม่เคยคิดว่าตนเองโด่งดัง บวกกับคำสั่งสอนของคุณแม่และคุณยายที่เขาพยายามยึดถือเรื่อยมา จึงทำให้แม้ในวันนี้ลีโอ พุฒจะไม่ได้มีงานเบื้องหน้าให้เราๆ ได้เห็นกันบ่อยนัก แต่เขาก็เข้าใจในสิ่งที่มันเป็นไป และดำรงอยู่กับมันอย่างมีความสุข

ทำงานเพื่อ “เติมเต็ม” ไม่ใช่ “ตักตวง”
แน่นอนว่าเมื่อวันเวลาผ่านไป ประสบการณ์ทั้งดี และไม่ดี ผู้คนที่เรามีโอกาสแวะเวียนเข้าไปรู้จัก บางคนที่ยังคบหากันอยู่ หรือบางคนเดินจากและหายหน้าไป สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลและทำให้มุมมองความคิดต่อการดำเนินชีวิตของเรามุ่งไปสู่จุดใหม่ อดีตนักร้องหนุ่มคนนี้ก็เช่นกัน เขาพบว่าในวัยนี้มุมมองการทำงานของเขาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก

“ผมรู้สึกสบายใจที่จะรับงานแบบเป็นคนข้างสปอร์ตไลท์มากกว่า คือเรามีความรู้สึกว่าเราไม่ต้องเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสปอร์ตไลท์ ไม่ได้ถูกโฟกัส แต่เป็นคนที่อยู่ข้างๆ แสงไฟอันนั้น แล้วก็ถามความรู้สึกของคนที่ถูกสปอร์ตไลท์ส่อง มันมีความรู้สึกว่าเราไม่ต้องไปแบกรับความกดดันอะไรมาก เพราะผมเคยทำมาหมดแล้ว บางทีมันก็เบื่อนะ”

“ทุกวันนี้ผมทำงานในความรู้สึกที่เปลี่ยนไปจากเดิม เมื่อก่อนผมอาจเลือกทำงานที่ต้องพิสูจน์ตัวเอง แต่เดี๋ยวนี้ผมอยากรับงานที่มันเป็นประโยชน์ต่อสังคมและเติมเต็มความรู้สึกในตัวเราในแง่ของการดำเนินชีวิต ในแง่ของการได้ภาคภูมิใจในงานที่ทำ อย่างพิธีกรรายการ Thai PBS Kids เป็นรายการสำหรับเด็ก เป็นรายการหนึ่งที่ผมภูมิใจมาก ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นนักแสดงคนอื่นอาจจะรู้สึกเฉยๆ เพราะมันอาจไม่ใช่ละครหลังข่าว ไม่ใช่การออกอัลบั้ม หรือการเล่นคอนเสิร์ตที่อิมแพค เมืองทอง แต่สำหรับผมคิดว่ามันน่าภาคภูมิใจทั้งในฐานะคนในวงการบันเทิง และคนเป็นพ่ออย่างผมด้วย”

วงการมายาทั้ง “น่ารัก” และ “น่าชัง”
ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ยังให้ค่ากับการเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง พยายามผลักดันตัวเองหรือลูกหลานผ่านเวทีประกวดประชันต่างๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าวงการบันเทิงเป็นวงการที่มีการแข่งขัน แย่งชิง ต่อสู้กันชนิดที่เรียกได้ว่าน่ากลัว แต่ดูเหมือนทุกคนก็พร้อมจะเสี่ยงและขอลอง

“วงการนี้มันอาจทำให้คุณทั้งรักและเกลียดมันได้ในเวลาพร้อมๆ กัน ก็ขอให้เลือกเอาแต่ความทรงจำที่ดีก็แล้วกัน แล้วก็อยู่ให้เป็น คือเรารับผิดชอบ ตรงเวลา และอย่าลืมว่าเราเป็นใครมาจากไหน แค่นี้แหละครับ”

ทุกวันนี้ลีโอ พุฒยังคงเป็นคนบันเทิงที่ทำงาน 7 วัน เมื่อมีเวลาว่างก็เลือกที่จะไปปั่นจักรยาน ปฏิบัติธรรม ซึ่งก็ทำให้เขาได้เห็นอะไรจริงขึ้นและพอจะสรุปความคิดของตนเองได้ชัดเจนว่า “คนเราเกิดมาเพื่อเหตุผลอะไรบางอย่าง ถ้าเรามัวแต่ติดอยู่กับชื่อเสียง มันก็หาความสุข ความสงบ จริงๆ ไม่ได้” ทุกวันนี้เขาจึงมีความสุขที่เป็นแบบนี้ แบบที่เป็นลีโอ พุฒ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook